Onimusha: Way of the Sword คือภาคล่าสุดของซีรีส์แอคชั่นระดับตำนานจาก Capcom ที่เงียบหายไปนานหลายปี ผ่านเกมนี้ Capcom พยายามปลุกจิตวิญญาณของ Onimusha ขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ด้วยดาบที่รวดเร็ว บรรยากาศที่มืดมน และองค์ประกอบเหนือธรรมชาติ โดยใส่กลิ่นอายความทันสมัยในด้านเกมเพลย์และเนื้อเรื่องเข้าไปด้วย นี่ไม่ใช่แค่การหวนคืนสู่ความคิดถึงเท่านั้น แต่คือก้าวใหม่ที่ทะเยอทะยานในการพัฒนาอัตลักษณ์ของซีรีส์ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น
สิ่งที่ทำให้ภาคนี้น่าสนใจคือการที่ Way of the Sword หันมาเล่าเรื่องผ่าน มุซาชิในวัยหนุ่ม ไม่ใช่ตัวละครใหม่ที่แต่งขึ้น แต่คือเวอร์ชันหนุ่มแน่นของซามูไรในตำนานที่ยังมีพื้นที่ให้พัฒนาอีกมาก พร้อมด้วยงานภาพที่น่าตื่นตา เกมเพลย์ที่มีความเสี่ยงสูง และเนื้อเรื่องที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น ไปดูกันได้ใน พรีวิว Onimusha: Way of the Sword นี้
เรื่องราวของมุซาชิที่ยังเยาว์และเต็มไปด้วยอัตตา
แตกต่างจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับมุซาชิที่เราคุ้นเคย ซามูไรในตำนานที่ไม่มีใครเอาชนะได้ Onimusha: Way of the Sword เลือกที่จะนำเสนออีกด้านหนึ่งของตัวละครที่โดดเด่นนี้ ในเกม มุซาชิยังเป็นชายหนุ่มที่เย่อหยิ่ง หลงตัวเอง และยึดถือความคิดที่ว่าหนทางสู่การเป็นนักรบที่แท้จริงนั้นต้องเกิดจากพละกำลังและทักษะของตนเท่านั้น โดยไม่ต้องพึ่งพาใครหรือสิ่งใด
ดังนั้น เมื่อเขาถูกผูกพันเข้ากับ ถุงมือโอนิ (Oni Gauntlet) สิ่งประดิษฐ์แห่งความชั่วร้ายที่มอบพลังเหนือธรรมชาติให้ เขากลับไม่ได้รู้สึกยินดีเลย กลับกัน เขารู้สึกขยะแขยง เพราะในสายตาของมุซาชิ พลังที่ไม่ได้มาจากการฝึกฝนอย่างหนักถือเป็นความอัปยศ

แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป มุซาชิก็เริ่มตระหนักว่าการปลดพันธนาการจากคำสาปของถุงมือโอนินั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การเดินทางของเขาเพื่อนำถุงมือไปชำระล้างพาเขาไปยังวัดคิโยมิซุเดระในเกียวโต สถานที่ซึ่งถูกนำกลับมาจำลองใหม่อย่างวิจิตรและน่าสะพรึง เพราะเต็มไปด้วยพลังมืดที่เรียกว่า Malice พลังชั่วร้ายที่เกิดจากการปรากฏตัวของปีศาจ Genma
ระหว่างทาง มุซาชิไม่เพียงต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดเท่านั้น แต่เขายังต้องเห็นความทุกข์ทรมานของมนุษย์: จากการสังหารหมู่ที่โหดร้าย ไปจนถึงการที่มนุษย์ต้องกระทำการเลวร้ายเกินจินตนาการภายใต้อิทธิพลของ Genma นี่ไม่ใช่แค่เรื่องราวของการต่อสู้ทางร่างกาย แต่ยังรวมถึงการต่อสู้ภายในจิตใจ ไม่ใช่เพียงการกำจัดปีศาจ แต่เป็นการช่วยเหลือวิญญาณของมุซาชิและผู้คนที่ตกอยู่ในเงามืด

เกมเพลย์
ดูรวมๆ แล้ว Way of the Sword ยังคงกลิ่นอายของ Onimusha แบบดั้งเดิมไว้ครบถ้วน การต่อสู้ที่รวดเร็ว ดุดัน และมีสไตล์ แต่หากพิจารณาให้ลึกลงไป ระบบต่อสู้ในภาคนี้กลับซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม อาศัยทั้งความแม่นยำ จังหวะที่ถูกต้อง และการบริหารทรัพยากรอย่างชาญฉลาด เช่นเดียวกับภาคก่อน ๆ ศัตรูที่ถูกกำจัดจะปล่อย “วิญญาณสีต่าง ๆ” ออกมา โดยมีหน้าที่ต่างกัน: สีแดงสำหรับค่าประสบการณ์ สีเหลืองสำหรับฟื้นฟู และสีน้ำเงินสำหรับใช้สกิลพิเศษ
แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ วิญญาณเหล่านี้จะหายไปอย่างรวดเร็ว ผู้เล่นจึงต้องตัดสินใจอยู่ตลอดว่าจะ “กำจัดศัตรูที่เหลือให้หมดก่อน” หรือ “รีบเก็บวิญญาณก่อนมันจะจางหาย” การตัดสินใจเล็ก ๆ เหล่านี้ทำให้เกมเต็มไปด้วยความรู้สึกกดดันและตื่นเต้น

ระบบป้องกันก็ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ ผู้เล่นสามารถกันการโจมตีได้จากทุกทิศทาง ทำให้ระบบรับมือมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แต่การใช้การ์ดมากเกินไปจะทำให้ท่าทางของมุซาชิพัง และเปิดช่องให้ศัตรูโจมตีได้ง่ายขึ้น ดังนั้นผู้เล่นจะต้องเล่นอย่างดุดันและชาญฉลาด ไม่ใช่แค่ตั้งรับอย่างเดียว
ในอีกด้านหนึ่ง เกมได้เพิ่มเทคนิคการป้องกันใหม่สองแบบคือ Redirect และ Deflect
- Redirect ช่วยให้ผู้เล่นสามารถจับศัตรูขว้างใส่สิ่งแวดล้อม เช่น ขว้าง Genma ใส่คบเพลิงให้มันโดนไฟคลอก
- Deflect จะเน้นไปที่การปัดการโจมตีทั้งระยะประชิดและระยะไกล หากผู้เล่นสามารถ Deflect ได้ต่อเนื่อง จะเปิดโหมดพิเศษที่มุซาชิแข็งแกร่งขึ้น และปล่อยวิญญาณสีน้ำเงินจำนวนมากออกมา
นี่ทำให้ทุกการต่อสู้รู้สึกเหมือนการเดิมพัน มีความเสี่ยงสูง แต่เมื่อทำสำเร็จก็ได้รางวัลมหาศาล

การต่อสู้กับบอส
ความสนุกที่แท้จริงของ Way of the Sword คือการเรียนรู้ระบบ Issen ที่กลับมาอีกครั้งในรูปแบบที่ทันสมัย หากผู้เล่นโจมตีศัตรูในเสี้ยววินาทีที่มันกำลังจะฟันใส่ จะสามารถโต้กลับอย่างรุนแรงด้วยดาบเดียวฆ่าศัตรูได้ในทันที และในภาคนี้ยังมีระบบใหม่ที่เรียกว่า Chain Issen ที่ให้ผู้เล่นสามารถเชื่อมต่อการโต้กลับต่อเนื่องแบบไม่ขาดสาย สร้างฉากการต่อสู้ที่รวดเร็ว ดุดัน และน่าทึ่งเหมือนหนังแอคชั่น
ระบบนี้ไม่ได้เป็นแค่เอฟเฟกต์สวยงาม แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญเมื่อคุณถูกล้อมและต้องเคลียร์ศัตรูในพริบตา

สำหรับบอส ระบบนี้ได้พัฒนาเป็นสิ่งที่เรียกว่า Break Issen ซึ่งแต่ละบอสจะมีแถบพิเศษใต้แถบเลือด บอกถึง “เสถียรภาพ” ของพวกมัน หากผู้เล่นสามารถ Deflect ได้ต่อเนื่อง แถบนี้จะลดลงจนบอส “ชะงัก” และเข้าสู่สถานะ Break Issen ผู้เล่นสามารถเลือก “โจมตีส่วนใดของร่างกายบอสก็ได้” โดยแต่ละตำแหน่งจะมีผลทางยุทธศาสตร์ที่ต่างกัน บางจุดสร้างความเสียหายรุนแรง บางจุดเพิ่มจำนวนวิญญาณที่ดรอป
การต่อสู้ที่น่าจดจำที่สุดคงหนีไม่พ้นกับ ซาซากิ กันริว ศัตรูคู่ปรับของมุซาชิในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ซึ่งในเกมนี้ก็สวมใส่ถุงมือโอนิเช่นกัน การต่อสู้ของพวกเขาไม่ใช่แค่การประลองดาบ แต่คือการปะทะกันของปรัชญาเรื่องเกียรติยศและชะตากรรม
อีกหนึ่งศัตรูที่น่าสะพรึงคือ บิยาคุเอะ (Byakue) ปีศาจ Genma ที่ยิ่งเลือดออกมากเท่าไหร่ ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ตัวเขาถูกพันไว้ด้วย โอฟุดะ หรือเครื่องรางกระดาษที่กักพลังเอาไว้ หากผู้เล่นโจมตีเขาแรงเกินไปจนเลือดออกมากเกิน เสี่ยงที่จะปลุกพลังทั้งหมดของเขาขึ้นมา และกลายเป็นฝันร้ายต่อผู้เล่นโดยทันที

กราฟิกและบรรยากาศภายในเกม
ในด้านงานภาพ Way of the Sword ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการผสมผสานความถูกต้องทางประวัติศาสตร์เข้ากับความแฟนตาซีแบบมืดมน หนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดคือฉากวัดคิโยมิซุเดระ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทีมผู้ดูแลวัดจริง ๆ ในการจำลองสถานที่ใหม่ อาคารบางส่วนยังตั้งอยู่ในตำแหน่งดั้งเดิมสมัยเอโดะเลยทีเดียว ทำให้เกมนี้มีสัมผัสแห่งความสมจริงที่ชัดเจน
แต่บรรยากาศยังคงหลอกหลอน เพราะวัดแห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยหมอก Malice ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการแผ่ขยายแห่งความชั่วร้าย ศัตรูในเกมก็ถูกออกแบบให้มีเอกลักษณ์ ตั้งแต่ซามูไรปีศาจที่ดูเหมือนมุซาชิในเวอร์ชันบิดเบี้ยว ไปจนถึง Genma ที่ทั้งน่าเศร้าและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือช่วงเวลาที่มุซาชิดูดกลืน Dark Mass เศษเสี้ยวแห่งความทรงจำอันชั่วร้าย ซึ่งจะเผยภาพหลอนจากอดีตที่สะเทือนอารมณ์ นี่ไม่ใช่แค่โลกที่เอาไว้ต่อสู้ แต่มันคือโลกที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ โศกนาฏกรรม และความลับมืดมนที่รอการเปิดเผย

สรุป พรีวิว Onimusha: Way of the Sword
จากสิ่งที่เราเห็นจนถึงตอนนี้ Onimusha: Way of the Sword คือความฝันที่เป็นจริงของแฟนเกมตัวยง Capcom ดูเหมือนจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ Onimusha เป็นที่รักของผู้เล่น ดาบที่รวดเร็วแม่นยำ บรรยากาศที่มืดหม่น และตัวละครที่แข็งแกร่ง และได้นำสิ่งเหล่านี้ไปพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ด้วยกลไกการเล่นที่ปรับปรุงใหม่และเนื้อเรื่องที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม
การเน้นไปที่มุซาชิในวัยหนุ่ม ผู้ยังเปี่ยมด้วยอุดมคติ ช่วยเพิ่มมุมมองที่สดใหม่ให้กับซีรีส์ ขณะที่การผสานระหว่างความสมจริงทางประวัติศาสตร์และสยองขวัญแบบโกธิกก็ช่วยเสริมเอกลักษณ์ให้โดดเด่น
ระบบ Issen ที่ปรับปรุงใหม่ การใช้วิญญาณในการพัฒนาสกิล การใช้สภาพแวดล้อมในการต่อสู้ และดีไซน์บอสที่สร้างสรรค์ แสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่แค่รีเมคหรือรีบูต แต่มันคือ “เครื่องบรรณาการ” ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรม หาก Capcom สามารถรักษาคุณภาพระดับนี้ได้ตลอดทั้งเกม Way of the Sword อาจกลายเป็นหนึ่งในเกมแอคชั่นที่ดีที่สุดแห่งปี และปลุกยักษ์ใหญ่นาม Onimusha ให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง

Onimusha: Way of the Sword มีกำหนดวางจำหน่ายในปี 2026 บน PlayStation 5, Xbox Series และ PC สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ผ่านเว็บไซต์ทางการ
อย่าลืมติดตาม Gamer555 เพื่อไม่พลาดข่าวสารเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
Discussion about this post