สามปีหลังจากเหตุการณ์ในเกมภาคแรก การปฏิวัติแห่งดนตรีร็อกกลับมาอีกครั้งใน No Straight Roads 2 พร้อมความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ระบบการเล่นใหม่ และดีลการจัดจำหน่ายที่อาจเปิดประตูไปสู่การดัดแปลงเป็นอนิเมะหรือมังงะในอนาคต
เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษกับ Wan Hazmer ซีอีโอและผู้อำนวยการสร้างเกมจาก Metronomik เพื่อพูดคุยถึงภาคต่อที่หลายคนรอคอยของ No Straight Roads ซึ่งภาคนี้เป็นการจับมือครั้งสำคัญกับ Shueisha Games ถือเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญของทีมพัฒนาอินดี้จากมาเลเซียสู่เวทีระดับโลก
จากสตูดิโออินดี้สู่พาร์ตเนอร์กับผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่
ความร่วมมือกับ Shueisha Games เกิดขึ้นจากการพบกันโดยบังเอิญในงาน Level Up KL ซึ่งตัวแทนจาก Shueisha ได้พูดคุยกับหลายบริษัท รวมถึง Metronomik ด้วย “เราบอกเขาเกี่ยวกับสองเกมใหม่ของเรา และเมื่อเรานำเสนอเกมเหล่านั้นต่อบริษัท Shueisha Games พวกเขาชอบเกมหนึ่งมาก และแป๊บเดียว ความร่วมมือก็เกิดขึ้นเลย” Hazmer อธิบาย
ดีลนี้ต้องผ่านการเจรจาและการประชุมหลายครั้ง รวมถึงในงาน summit ครั้งใหญ่ที่ทั้งสองบริษัทได้พบกันแบบจริงจัง
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการดัดแปลง No Straight Roads เป็นมังงะหรืออนิเมะ Hazmer ตอบด้วยความหวังแต่ก็ระมัดระวัง “โดยส่วนตัวแล้ว ผมอยากเห็น No Straight Roads ถูกดัดแปลงเป็นการ์ตูนหรือแม้กระทั่งซีรีส์อนิเมะเลยนะครับ แต่ท้ายที่สุด มันก็ขึ้นอยู่กับว่า Shueisha Games อยากทำอะไรกับ IP นี้ ตอนนี้หน้าที่ของเราคือทำเกมให้เสร็จก่อน”

ระบบการเล่นที่ขยายใหญ่ขึ้น พร้อมตัวละครใหม่
No Straight Roads 2 คือการพัฒนาครั้งสำคัญจากเกมภาคแรก ซึ่งเน้นการต่อสู้กับบอสเป็นหลัก ในภาคนี้ผู้เล่นจะได้ทำอะไรมากขึ้นระหว่างการเดินทาง “คราวนี้จะมีอะไรให้ทำมากขึ้นก่อนถึงการต่อสู้กับบอส ผู้เล่นจะได้สำรวจ มีปฏิสัมพันธ์กับโลก และดำดิ่งสู่เนื้อเรื่องให้ลึกขึ้นก่อนจะเจอศึกใหญ่” Hazmer กล่าว
นอกจากนี้สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเด่นชัดอีกอย่างก็คือจำนวนตัวละครที่เล่นได้ “NSR1 มีตัวละครเล่นได้ 2 คน ส่วน NSR2 มี 4 คนครับ”
เนื้อเรื่องเกิดขึ้น 3 ปีหลังเหตุการณ์ในภาคแรก โดยจะเห็นพัฒนาการของตัวละครสะท้อนอยู่ในดีไซน์ เช่น Mayday ที่ตอนนี้ถือกีตาร์ของ Kool Fyra และมีผ้าพันแผลที่ขา สื่อถึงการเติบโตสู่สไตล์อินดี้มากขึ้น แต่ยังเคารพรากเหง้าของ NSR ขณะที่ Zuke มีทรงผมถักเปียใหม่ ซึ่ง คุณ Hazmer ยืนยันว่าแก่นของวงดนตรียังคงเดิม “แน่นอนครับ พวกเขายังเป็นวงร็อกอยู่ นั่นคือส่วนหนึ่งของตัวตนพวกเขา แต่คราวนี้พวกเขาจะต้องเจอกับแนวดนตรีที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่แค่ EDM แล้ว”

ออกนอก Vinyl City
ภาคนี้จะพาผู้เล่นออกจาก Vinyl City ไปยังสถานที่ใหม่ ๆ ผ่านการเดินทางด้วยรถตู้ ที่มีมินิเกมและช่วงอินเทอร์แอคทีฟระหว่างทาง “คุณจะได้เล่นเซกชันที่โต้ตอบได้ขณะเดินทางด้วยครับ” Hazmer อธิบาย พร้อมระบุว่าสิ่งนี้ถือเป็นการขยายกลไกการเล่นครั้งใหญ่จาก NSR1
เมื่อถูกถามถึงเหตุผลในการออกจากเมือง คุณ Hazmer ตอบแบบยังกั๊กข้อมูลไว้พอสมควร “คุณจะได้ออกนอก Vinyl City ขี่รถตู้ไปที่อื่นครับ เพื่อทำอะไรน่ะเหรอ? ยังบอกไม่ได้ตอนนี้ แต่ใช่ครับ คุณจะได้เดินทางแน่นอน”
ตัวอย่างที่ปล่อยออกมาก็เผยให้เห็นกลไกใหม่นี้ ซึ่ง คุณ Hazmer ก็ยืนยันเช่นกัน “ใช่ครับ จะมีมินิเกมระหว่างการเดินทาง และใช่ ที่คุณเห็นเครื่องหมายเล็งในตัวอย่าง นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งด้วย เรากำลังขยายระบบเกมให้กว้างขึ้นกว่าที่เคยมีใน NSR1”

ระบบดนตรีที่กลมกลืนยิ่งขึ้น
แม้ว่าดนตรียังคงเป็นหัวใจของ NSR แต่กระบวนการพัฒนาด้านนี้ได้เปลี่ยนไปอย่างมาก “ใน NSR1 Composser มีส่วนร่วมอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่มักจะทำเพลงเสร็จก่อน แล้วเราค่อยหาวิธีใส่เข้ากับเกม แต่คราวนี้ ทีม Composser เข้ามาร่วมงานกับทีมออกแบบเกมตั้งแต่ต้นเลยครับ” Hazmer กล่าว
:ซึ่งเขาเรียกสิ่งนี้ว่า “ก้าวกระโดดครั้งใหญ่” ที่ช่วยให้เพลงและเกมเพลย์เชื่อมโยงกันได้ดีขึ้น นอกจากนี้ทีมงานยังได้พัฒนาการออกแบบระบบจังหวะให้ดียิ่งขึ้น โดยศึกษาเกมจังหวะอื่น ๆ แต่ยังคงเอกลักษณ์ของ NSR “ไม่เหมือนกับเกมจังหวะอื่นที่อิงแต่จังหวะ NSR ต้องให้ผู้เล่นฟังจริง ๆ เช่น เมื่อท่อนคอรัสมา นั่นมักเป็นจังหวะโจมตีใหญ่ มันไม่ใช่แค่การกดให้ตรงเวลา แต่ต้องเข้าใจโครงสร้างของเพลงด้วยครับ”
Hazmer เสริมว่าเขาชอบเกมอย่าง Pop’n Music ที่สร้างแนวดนตรีใหม่ ๆ แบบ Ancient Euro, Cat Jazz หรือ Ninja Metal “บางทีมันก็ดูเหลวไหลนะครับ แต่พอฟังเพลงแล้วมันเวิร์กเลย สำหรับ NSR2 เราก็ยังใช้แนวดนตรีที่ผู้เล่นคุ้นเคยอยู่ แต่ก็มีลูกเล่นของ Metronomik ใส่ลงไปเสมอ”

พัฒนาภาพและเสียงให้ดียิ่งขึ้น
ทีมงานยังให้ความสำคัญกับการทำให้การต่อสู้ดูเข้าใจง่ายขึ้น โดยยังคงรักษาสไตล์งานศิลป์อันเป็นเอกลักษณ์ของเกมไว้ “ใช่ครับ แอนิเมชันและเอฟเฟกต์ภาพต่าง ๆ ตอนนี้ชัดเจนขึ้นมาก เราได้ปรับปรุงความชัดเจนในฉากต่อสู้จากฟีดแบคของแฟน ๆ และจากการทดสอบเกม” Hazmer ยืนยัน
ภาคนี้ยังจะมีแนวดนตรีที่หลากหลายกว่าภาคแรกซึ่งเน้น EDM เป็นหลัก แต่การต่อสู้กับบอสยังคงเป็นจุดไคลแมกซ์หลักของแต่ละช่วงในเกม “แน่นอนครับ บอสแต่ละตัวยังคงเป็นจุดไคลแม็กซ์ของเรื่องราวในช่วงนั้น และพวกเขาทุกคนก็มีเรื่องราวของตัวเอง ว่าทำไมพวกเขาถึงทำดนตรี และดนตรีของพวกเขาสื่อถึงอะไร คุณจะได้สัมผัสเรื่องราวเหล่านั้นผ่านบทสนทนาและการเล่าเรื่องด้วยภาพ ต้องขอบคุณการกำกับสุดเจ๋งของลูกพี่ลูกน้องของผม Daim Dziauddin ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเป็น Creative Director ด้วยครับ”
Hazmer กล่าวเพิ่มเติมว่าในตัวอย่างเกม มีบอสสองตัวที่ถูกเปิดเผยแล้ว และแฟน ๆ ก็เริ่มคาดเดาทฤษฎีต่าง ๆ ซึ่งทำให้เขารู้สึกสนุกไปด้วย

ทีมงานดั้งเดิมกลับมาอีกครั้ง
หลายคนในทีมงานเดิมจากภาคแรกกลับมาทำงานใน No Straight Roads 2 ด้วย ซึ่งช่วยเสริมประสบการณ์และความเข้าใจในโลกของเกมอย่างเต็มที่ “ใช่เลยครับ ทีมงานจาก NSR1 หลายคนยังอยู่กับ Metronomik พวกเขารู้จักโลกของเกมนี้ดี เข้าใจสไตล์การเล่น และนำประสบการณ์เหล่านั้นมาใช้ได้อย่างยอดเยี่ยม พอเพิ่มมุมมองจาก Shueisha ในฐานะผู้จัดจำหน่ายเข้าไป NSR2 ก็กำลังกลายเป็นอะไรที่ใหญ่ขึ้นและละเมียดละไมยิ่งขึ้นครับ”
นักพากย์เสียงตัวละคร Mayday อย่าง Su Ling Chan ก็กลับมาอีกครั้ง โดย Hazmer เล่าว่าเธอไม่รู้เลยว่าได้รับการติดต่อกลับมาเพื่อพากย์ NSR2 “ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นเกมอื่นครับ พอรู้ว่าเป็น NSR2 เธอก็ตกใจมาก ส่งข้อความมาหาผมเลยว่า ‘โอ้พระเจ้า ฉันไม่รู้เลยว่าคุณทำภาค 2 อยู่!’” Hazmer เล่าพร้อมหัวเราะ
ส่วนนักพากย์ของ Zuke อย่าง Steven Bones ก็กลับมาด้วยเช่นกัน โดยนักพากย์เหล่านี้ได้รับข้อมูลอัปเดตผ่านกลุ่ม WhatsApp ของทีมงาน เพื่อคงไว้ซึ่งความใกล้ชิดและบรรยากาศอบอุ่นเหมือนการทำเกมภาคแรก
“เราปิดข่าวกับนักพากย์เหมือนกันครับ เพราะ Shueisha เขาเคร่งเรื่องการหลุดข้อมูลมาก พอพวกเขารู้แล้วว่าทำภาค 2 อยู่ ทุกคนก็ตื่นเต้นสุด ๆ เรามีกลุ่ม WhatsApp กันด้วย คอยอัปเดตและพูดคุยกัน”

แผนวางจำหน่ายและความร่วมมือในอนาคต
Metronomik ตั้งเป้าวางจำหน่าย NSR2 ในปี 2026 โดยยืนยันว่ามีแน่นอนบน PC และคอนโซล “เราตั้งเป้าไว้ปี 2026 แต่ยังไม่ได้ระบุวันที่แน่ชัดครับ” Hazmer กล่าว
สำหรับ PC มีข่าวอัปเดตไวกว่าใครเพื่อน โดยบน Steam มีหน้ารายการ Wishlist ให้กดเพิ่มเรียบร้อยแล้ว แม้จะยังไม่ประกาศว่าเครื่องคอนโซลไหนจะได้เล่นบ้าง “เราจะประกาศแพลตฟอร์มเฉพาะทีหลังครับ แต่ Steam ได้แน่นอน มีหน้า Wishlist แล้ว โดยเกมนี้จะวางจำหน่ายทั้งบน PC และคอนโซลครับ แต่รายละเอียดเต็ม ๆ จะเปิดเผยในโอกาสถัดไป”
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ของการร่วมงานกับเกมอินดี้หรือศิลปินอื่น ๆ Hazmer ตอบว่าเขายินดีอย่างมาก แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับ Shueisha ด้วย “ในฐานะนักพัฒนาอินดี้ ผมอยากร่วมงานกับเกมอินดี้เกมอื่น ๆ และศิลปินอื่น ๆ มากครับ เพราะการร่วมงานช่วยเปิดมุมมองใหม่และขยายฐานแฟนคลับให้กว้างขึ้น แต่สุดท้ายแล้ว มันก็ขึ้นอยู่กับ Shueisha เหมือนกันว่าจะเอาด้วยหรือไม่”
เขาเสริมด้วยว่าทีมเคยร่วมงานกับคอนเทนต์ครีเอเตอร์อย่าง The Anime Man มาก่อนแล้ว “เราเคยทำมาก่อนครับกับคอนเทนต์ครีเอเตอร์อย่าง The Anime Man แต่ตอนนี้… ยังไม่สามารถยืนยันอะไรได้เลย มันเป็นสิ่งที่เรากำลังพูดคุยกันอยู่ครับ”

ด้วยระบบการเล่นที่ขยายใหญ่ขึ้น การเชื่อมโยงระหว่างดนตรีกับเกมเพลย์ที่แน่นแฟ้น และการสนับสนุนจากผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ No Straight Roads 2 กำลังกลายเป็นภาคต่อที่สานต่อเสน่ห์ ความสร้างสรรค์ และพลังแห่งดนตรีร็อกในแบบฉบับอินดี้ไว้อย่างเต็มเปี่ยม ทั้งนี้เราขอขอบคุณ คุณ Wan Hazmer ที่สละเวลามาตอบคำถามต่างๆ กับเราแบบ exclusive จนเกิดบทสัมภาษณ์นี้ขึ้นมาได้
No Straight Roads 2 ตั้งเป้าวางจำหน่ายในปี 2026 บน PC และ Consoles ใครที่สนใจสามารถกด wishlist เกมได้แล้วบน Steam สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดตามได้ผ่าน social media ของทีมพัฒนาอย่าง X, IG, Facebook หรือ เว็บไซต์ทางการของ Shueisha
อย่าลืมติดตาม Gamer555 เพื่อไม่พลาดข่าวสารเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
Discussion about this post