หลายปีผ่านไปนับตั้งแต่การเปิดตัวของ Death Stranding ภาคแรก คำถามที่ยังค้างคาในใจของแฟนเกมจำนวนมากคือ Death Stranding 2: On the Beach จะสามารถสานต่อความคาดหวัง และนิยามความหมายของ “เกมจำลองการส่งของ” ใหม่ได้หรือไม่?
อีกครั้งที่ Hideo Kojima กลับมาท้าทายแนวคิดเรื่อง “สายสัมพันธ์” สำรวจว่าผู้คนแสวงหาความไว้เนื้อเชื่อใจ ความหมาย และความเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไรในโลกที่แตกร้าวจากความโดดเดี่ยวและการสูญเสีย
ใน รีวิว Death Stranding 2 นี้ไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่อง และจะมุ่งเน้นไปที่ระบบเกมเพลย์ การเล่าเรื่อง และประสบการณ์โดยรวมของผู้เล่น ดังนั้นแม้แต่ผู้เดินทางหน้าใหม่ก็สามารถอ่านได้โดยไม่ต้องกังวล (แต่ใครไม่เคยเล่นภาค 1 มาก่อนมีการพูดถึงเนื้อหาอยู่ข้างต้นนะ)
เนื้อเรื่องและตัวละคร: การต่อสู้ การเชื่อมโยง และระเบียบโลกแบบใหม่
หลังเหตุการณ์ใน Death Stranding ภาคแรก โลกดูเหมือนจะกลับคืนสู่ความสงบในระดับหนึ่ง แต่เส้นแบ่งระหว่างชีวิตกับโลกหลังความตายยังคงเลือนราง Sam Porter Bridges กลับมาอีกครั้งในภารกิจที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น คราวนี้เพื่อขนส่งความหวัง และสร้างสายสัมพันธ์ขึ้นใหม่ในพื้นที่ที่ไกลเกินกว่าสหรัฐอเมริกา

เนื้อเรื่องในภาคนี้เกิดขึ้น 11 เดือนหลังจากภาคแรก Sam ไม่ได้เดินทางเพียงลำพังอีกต่อไป เขาทำงานเคียงข้าง Fragile ในฐานะสมาชิกขององค์กรใหม่ชื่อว่า Drawbridge พร้อมพันธมิตรหน้าใหม่อีกหลายคนเพื่อสร้างเครือข่ายการเชื่อมโยงระดับโลก
แต่การกลับมาของ Higgs กลายเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อภารกิจ การกลับมาของเขาสั่นคลอนความเชื่อของ Sam ที่มีต่อคุณค่าของการเชื่อมโยง และปลุกภัยร้ายที่เคยถูกฝังไว้ให้หวนกลับ
ในขณะเดียวกัน Lou ที่บัดนี้เป็นทารกน้อยที่มีชีวิตชีวา กลายเป็นศูนย์กลางทางอารมณ์และเนื้อหาของภาคต่อนี้ ผู้เล่นจะได้ค่อย ๆ คลี่คลายความจริงเบื้องหลังตัวตนของเธอ และสำรวจความลับอันลึกซึ้งของ Beach และแรงดึงดูดอันน่าหวาดหวั่นของมัน
เมื่อเทียบกับภาคแรก จังหวะการดำเนินเรื่องในภาคนี้กระชับและตรงไปตรงมามากขึ้น อาจเป็นเพราะผู้เล่นที่กลับมาเล่นภาคต่อมีความเข้าใจในแนวทางการเล่าเรื่องแบบไม่เป็นเส้นตรงของ Kojima อยู่แล้ว ทำให้เริ่มเรียงร้อยเบาะแสและองค์ประกอบต่าง ๆ ได้เอง ผลลัพธ์คือเรื่องราวกับเกมเพลย์ผสานกันอย่างลงตัว นำไปสู่ความรู้สึกสับสนน้อยลง ความกลมกลืนที่มากขึ้น และผลกระทบทางอารมณ์ที่ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม

กราฟิก: ภาพยนตร์ชั้นยอด
ทีมงานเล่นเกมภาคแรกบน PS4 และภายหลังก็กลับไปเล่นเวอร์ชัน Director’s Cut บน PS5 ซึ่งก็ถือว่าภาพสวยมากอยู่แล้ว แต่ Death Stranding 2 กลับทำได้เหนือกว่านั้น
รายละเอียดของภาพในเกมนี้น่าทึ่งมาก ตั้งแต่ระบบแสง พื้นผิว ไปจนถึงความสมจริงของภูมิประเทศ ภาพต่าง ๆ ในเกมดูสมจริงจนถึงขั้นทำให้แยกไม่ออกว่ากำลังดูภาพจากเกมหรือภาพถ่ายจริง ฉากเปิดของเกมน่าตะลึงเป็นพิเศษ เรียกว่าใครที่ได้สัมผัสตัวเกม น่าจะอยากโน้มหน้าเข้าไปใกล้หน้าจอเพื่อเช็กให้แน่ใจว่า “นี่คือภาพในเกมจริง ๆ ใช่ไหม?”
คัตซีนยังคงเป็นหนึ่งในจุดแข็งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ Kojima Productions ทุกช่วงเวลาของคัมซีนภายในเกมทำให้คุณอยากวางจอยแล้วดูต่อแบบไม่ขาดตอน หากได้เล่นเกมนี้บนทีวี UHD ขนาด 43 นิ้ว และด้วยภาพระดับ 4K เกมนี้มอบประสบการณ์เหมือนชมภาพยนตร์ระดับสูงจริง ๆ
โมเดลตัวละครก็ถูกอัปเกรดอย่างชัดเจน ภาพระยะใกล้เผยให้เห็นรูขุมขน ลายเส้นบนใบหน้า พื้นผิวของผิวหนัง และเส้นผมที่พลิ้วไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ การแสดงสีหน้าดูสมจริงยิ่งขึ้นกว่าที่เคย มีชีวิตชีวาและเติมพลังให้กับทุกบทสนทนา

โลกในเกมกว้างใหญ่และหลากหลายมาก ทั้งภูเขาหิมะ ป่าทึบ ทะเลทราย ริมทะเลสาบ และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ละภูมิประเทศให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม และหลายครั้งที่ระหว่างการส่งของ ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดเพื่อชมวิวตรงหน้า
ระบบใหม่อย่างวัฏจักรกลางวัน-กลางคืน และภัยธรรมชาติเพิ่มความดื่มด่ำให้มากยิ่งขึ้น คุณสามารถเลือกพักค้างคืนในที่พักใกล้ ๆ หรือจะลุยเดินทางต่อในความมืดโดยยอมเสี่ยงทัศนวิสัยต่ำและความอันตราย แผ่นดินไหวอาจทำให้คุณเสียหลัก หรือก่อให้เกิดหิมะถล่มในพื้นที่หิมะ ขณะที่น้ำหลากอาจทำให้เส้นทางที่คุณวางแผนไว้จมอยู่ใต้น้ำ ทำให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางหรือสร้างสะพานชั่วคราวขึ้นทันที แม้แต่เอฟเฟกต์ภาพจากสิ่งแวดล้อมที่แสดงบนหน้าจอ หยดฝน คราบโคลน ลม หิมะ ก็ช่วยยกระดับความสมจริงได้อย่างงดงาม

การทดสอบเกมทีมงานได้ลองเล่นทั้งบน PS5 และ PS5 Pro ผลปรากฎว่า ประสิทธิภาพยอดเยี่ยมทั้งสองเครื่อง แม้ในโหมด Quality ซึ่งเน้นความคมชัดของภาพ เฟรมเรตก็ยังลื่นไหลไม่มีสะดุด และเวลาโหลดแทบไม่สังเกตเห็นได้เลย โหมด Performance ยิ่งมอบความลื่นไหลที่เหนือกว่าอีก โดยลดคุณภาพกราฟิกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ดนตรีและเสียง: บทเพลงแห่งความสันโดษ
ดนตรีใน Death Stranding 2 ยังคงมีบทบาทสำคัญเหมือนในภาคแรก ในช่วงเวลาแห่งความโดดเดี่ยวระหว่างการเดินทางไกล เพลงที่ไพเราะมักจะบรรเลงขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ ยกระดับอารมณ์ บรรยากาศ และความดื่มด่ำของผู้เล่น แต่ละพื้นที่มีดนตรีเฉพาะตัวที่สร้าง ซาวด์แทร็ก ให้กับการส่งของแต่ละครั้ง เพิ่มสีสันทางอารมณ์แม้แต่ในภารกิจที่ดูธรรมดาที่สุด
การออกแบบเสียงก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน: เสียงล้อรถบดผ่านกิ่งไม้ เสียงน้ำไหลของลำธาร และเสียงฝีเท้าของ Sam ที่ดังกังวานและหนักแน่น ทุกอย่างฟังดูมีน้ำหนักและมีตัวตน เมื่อตัวเกมเริ่มเล่นดนตรี เสียงจากสภาพแวดล้อมจะค่อย ๆ เงียบลง ทำให้คุณได้ซึมซับทั้งภาพและเสียงอย่างเต็มที่
เอฟเฟกต์เสียงในฉากต่อสู้นั้นหนักแน่น โดยเฉพาะการต่อสู้กับบอส เสียงดนตรีพื้นหลังที่กระพือขึ้นเมื่อคุณโจมตีสำเร็จสร้างแรงผลักดันและความเร่งเร้าในฉากอย่างมหาศาล มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่รู้สึกตื่นเต้นเมื่อทุกอย่างประสานกันอย่างลงตัว
เกมเพลย์เล่นหลัก: พัฒนาไปไกลกว่า “เกมส่งของ”
การอัปเกรดระบบส่งของ
แม้ยานพาหนะในภาคนี้จะมีให้ใช้น้อยลง แต่แต่ละคันก็ถูกปรับแต่งมาอย่างดีเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้ระบบโดยรวมรู้สึกกระชับและใช้งานได้จริงยิ่งขึ้น
คันแรกคือ Tri-cruiser รถสามล้อขนาดกะทัดรัดที่มีดีไซน์แปลกใหม่ โดย Sam มานั่งด้านหน้า แทนที่จะขี่เหมือนมอเตอร์ไซค์ทั่วไป มันเร็ว คล่องตัว และเหมาะกับการขนของระยะใกล้หรือพัสดุขนาดเบา อีกทั้งยังสามารถวิ่งผ่านน้ำหรือพื้นน้ำมันดินได้ โดยจะกางใบพัดออกเมื่อต้องการ ดูล้ำยุคและไซไฟมาก
ต่อมาคือ Pick-up Roader รถบรรทุกที่ได้รับการอัปเกรดจากภาคแรก มีดีไซน์แบบโมดูลาร์ที่สามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมได้ เช่น Sticky Cannon (ดูดพัสดุอัตโนมัติ), ปืนกล (ล็อกเป้าอัตโนมัติ), Chiral Cannon (โจมตีรุนแรง), หรือเกราะเสริม (เพิ่มการป้องกัน) ในช่วงท้ายเกม คุณยังสามารถปลดล็อกยางหิมะสำหรับควบคุมดีขึ้นบนพื้นลื่น เหมาะมากกับการขนของหนักระยะไกล

นอกจากนี้ยังมีพาหนะใหม่ชื่อว่า DHV Magellan ซึ่งสามารถแล่นข้ามทะเลสาบน้ำมันดินได้ ทำให้ผู้เล่นเดินทางระหว่างฐานหลักได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การวาร์ปแบบ fast travel จะใช้ได้เฉพาะระหว่างสถานีที่เชื่อมต่อกับ Chiral Network แล้วเท่านั้น
ระบบคลาสสิกอย่างทางด่วน (highways) และสายเคเบิล (zip-lines) จากภาคแรกก็กลับมาอีกครั้ง และในครั้งนี้ได้มีการเพิ่มระบบใหม่คือ Monorail ผู้เล่นสามารถบริจาควัสดุเพื่อขยายเส้นทางโมโนเรล ซึ่งสามารถบรรทุกไม่เพียงแค่ Sam และพัสดุของเขา แต่รวมถึงรถทั้งคัน ทำให้การส่งของระยะไกลมีประสิทธิภาพและสะดวกขึ้นมาก
แม้ว่ารูปแบบวงจรการส่งของจะยังคงคุ้นเคย แต่การปรับแต่งต่าง ๆ ทำให้รู้สึกไม่น่าเบื่ออีกต่อไป ภารกิจมีเป้าหมายหลากหลาย เช่น ตามหาพัสดุที่หายไป, จัดการ BTs, หรือบุกค่ายศัตรู ภารกิจแต่ละแบบจะสลับกันอย่างเป็นธรรมชาติ ลดความรู้สึกเหนื่อยจากการเดินทางไกล และทำให้เกมเพลย์มีความหลากหลาย

ระบบ asynchronous social strand system ก็กลับมาอย่างเต็มรูปแบบ ผู้เล่นสามารถสร้างสิ่งปลูกสร้าง ทิ้งป้ายคำแนะนำ หรือสร้างถนนให้ผู้เล่นอื่น แม้คุณจะไม่เคยพบผู้เล่นอื่นโดยตรง คุณก็จะรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของพวกเขาทุกหนแห่ง ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเงียบนี้ยังคงเป็นหนึ่งในแนวคิดที่งดงามที่สุดของซีรีส์นี้
ระบบต่อสู้และการออกแบบศัตรู
นอกจาก BTs และศัตรูมนุษย์แล้ว DS2 ยังเพิ่มศัตรูใหม่ที่น่าหวั่นเกรงอย่าง Ghost Mechs ซึ่งนำโดย Higgs สิ่งมีชีวิตกึ่งเครื่องจักรเหล่านี้มีรูปแบบและอาวุธที่หลากหลาย เป็นหนึ่งในความท้าทายที่หนักที่สุดของเกม ส่วน BT แบบใหม่ เช่น BT สีแดงดุดัน ก็ทำให้การเดินทางเต็มไปด้วยความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น
ผู้เล่นยังสามารถเลือกใช้แนวทางการลอบเร้นหรือการต่อสู้ได้เช่นเดิม คุณสามารถย่องเข้าไปด้วยอาวุธที่ไม่รุนแรงถึงชีวิตอย่างสายรัดเพื่อทำให้ศัตรูหมดสติอย่างเงียบ ๆ หรือจะบุกแบบเต็มกำลังเมื่อจำเป็น โดยเฉพาะเมื่อภารกิจต้องการกำจัดเป้าหมาย
การออกแบบอาวุธได้รับการพัฒนาอย่างมาก ประเภทของอาวุธมีทั้งปืนพก, ปืนลูกซอง, สไนเปอร์, ปืนจู่โจม, เครื่องยิงระเบิด, เครื่องยิงจรวด และอุปกรณ์ขว้าง อาวุธแต่ละชิ้นจะระบุชัดเจนว่าเหมาะกับศัตรูประเภทใด แทนที่ระบบเปลี่ยนกระสุนซับซ้อนจากภาคแรก ซึ่งช่วยลดน้ำหนักสัมภาระ และทำให้การเตรียมตัวง่ายขึ้น
การต่อสู้กับบอสยังคงอลังการเหมือนเดิม ทั้ง BT ขนาดมหึมาและเครื่องจักรกลอสูร ความดราม่าของภาพ เสียงดนตรี และแรงกระแทกของการโจมตีทำให้ทุกการต่อสู้เร้าใจมาก โดยรวมแล้ว ระบบต่อสู้ในภาคนี้รู้สึกง่ายกว่าภาคแรกเล็กน้อย แม้ในระดับ Normal ก็ยังเข้าถึงง่าย สำหรับผู้เล่นหน้าใหม่หรือผู้ที่เน้นเนื้อเรื่อง สามารถเลือกโหมด Story หรือ Casual เพื่อประสบการณ์ที่ลื่นไหล สัดส่วนของระบบต่อสู้ในภาคนี้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน หากในภาคแรกเป็น 80% การส่งของ และ 20% การต่อสู้ ในภาคนี้อาจอยู่ที่ประมาณ 60/40 แล้วแต่สไตล์การเล่นของแต่ละคน การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยเพิ่มความตึงเครียดและความหลากหลาย ลดความซ้ำซากจากการเดินทางไกลได้อย่างชัดเจน

UI และการควบคุม: ใช้ง่ายขึ้นหรือไม่?
อินเทอร์เฟซของภารกิจและแผนที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ หลังจากรับภารกิจแล้ว ผู้เล่นจะได้รับคำแนะนำในการวางแผนเส้นทางและเตรียมอุปกรณ์ (การสร้างของ ล็อกเกอร์ โรงรถ ฯลฯ) ก่อนออกเดินทาง ทำให้กระบวนการทั้งหมดราบรื่นและเข้าใจง่ายขึ้น
HUD ยังคล้ายกับภาคแรก โดยมีปุ่มลัดบน D-pad ด้านซ้ายล่าง และแถบพลังชีวิต/ความเหนื่อยปรากฏใกล้ตัว Sam เฉพาะในระหว่างการต่อสู้ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างโดดเด่นคือการจัดเลย์เอาต์ของ D-pad: จากเดิมที่มีแค่อาวุธ อุปกรณ์ และการปรับแต่ง ในภาคนี้ได้เพิ่มฟังก์ชัน Cargo Management และ Emotes รวมอาวุธและอุปกรณ์ทั้งหมดไว้ในแท็บเดียว ในช่วงแรก ผู้เล่นอาจรู้สึกว่าทุกอย่างเยอะเกินไป อุปกรณ์ โยนของ ยารักษา และสิ่งปลูกสร้างใช้วงล้อร่วมกันหมด แต่เมื่อความเคยชินเกิดขึ้น ทุกอย่างก็จะไหลลื่นตามธรรมชาติ

ปุ่มลัดสำหรับ Cargo Management เป็นการอัปเกรด QoL อย่างแท้จริง เพียงกดครั้งเดียว คุณสามารถจัดระเบียบสัมภาระอัตโนมัติ หรือวางพัสดุชั่วคราวก่อนการต่อสู้ เพื่อปกป้องคะแนนการส่งจากความเสียหาย เมื่อการต่อสู้จบลง คุณก็กลับไปเก็บของทั้งหมดได้เหมือนเดิม
การสลับอาวุธจากที่เล่นมายังมีจุดที่น่าปรับปรุงอยู่บ้าง เครื่องมือระยะใกล้และไกลใช้ปุ่มลัดร่วมกัน ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่นใหม่สับสน แต่ระบบ default weapon ที่เพิ่มเข้ามาช่วยได้ ตั้งค่าปืนโปรดไว้ แล้วมันจะถูกดึงมาใช้เป็นอาวุธแรกเสมอ
สำหรับผู้เล่นเก่า คำศัพท์และกลไกของเกมจะคุ้นเคยดี สำหรับผู้เล่นใหม่ ตัวเกมมี หน้าต่างสอนแบบ pop-up อย่างละเอียด และยังมี ฐานข้อมูลภายในเกม ที่ครอบคลุมทุกอย่าง ทั้งเทคนิคการเล่น สรุปเนื้อเรื่อง โปรไฟล์ตัวละคร และคำอธิบายไอเทม ใช้เวลาเรียนรู้ไม่นานก็สามารถเข้าที่เข้าทางได้

การเปรียบเทียบกับภาคแรก: สานต่อจิตวิญญาณ หรือวิวัฒนาการเต็มตัว?
เป็นมิตรกับผู้เล่นใหม่หรือไม่?
การออกแบบหลายอย่างของ DS2 ดูเหมือนจะตอบสนองโดยตรงต่อเสียงวิจารณ์จากภาคแรก ความซับซ้อนในการเรียนรู้ถูกลดลง เกมเพลย์มีความหลากหลายมากขึ้น และจังหวะของเกมโดยรวมก็ดีขึ้น หากคุณเคยลังเลที่จะลองเล่นมาก่อน นี่แหละคือภาคที่คุณควรเริ่ม
อย่างไรก็ตาม เพื่อความเข้าใจลึกซึ้งในเนื้อหา เรายังแนะนำให้เล่นภาคแรกหรือดูสรุปเนื้อเรื่องก่อน แม้ตัวเกมจะมีสรุปของตัวเอง การได้สัมผัสเกมต้นฉบับด้วยตัวเองจะทำให้จุดพีคทางอารมณ์ และการปรากฏตัวของตัวละครบางคน ยิ่งทรงพลังยิ่งขึ้น
ยังคงแก่นเนื้อเรื่องเดิมหรือไม่?
ความเชื่อมโยงยังคงเป็นหัวใจของเรื่องราว แต่คราวนี้มันถูกถ่ายทอดผ่านความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงของ Sam กับ Lou ในภาคแรก ความผูกพันของพวกเขาเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมชาติ UCA ส่วนในภาคนี้ Lou ก็เป็นแรงผลักดันอีกครั้ง ที่ทำให้ Sam ข้ามทวีปเพื่อฟื้นฟูโลกที่แตกร้าว

สรุป รีวิว Death Stranding 2
Death Stranding 2 คือภาคต่อที่หาได้ยาก ที่ทั้งให้เกียรติจิตวิญญาณของภาคแรก และยังกล้าปรับปรุงทุกอย่าง ตั้งแต่ระบบการเล่น การนำเสนอภาพ เนื้อเรื่อง ไปจนถึงความดื่มด่ำของเกม มันคือนิยามของวิวัฒนาการอย่างแท้จริงในวิสัยทัศน์ของ Kojima ผู้เล่นเก่าจะเจอสิ่งที่รักมากขึ้น ผู้เล่นใหม่จะเจอทางเข้าสู่จักรวาลนี้ที่เป็นมิตรขึ้น และทุกคนจะได้เดินจากไปพร้อมสิ่งที่ต้องครุ่นคิด
แนะนำสำหรับ: แฟนเกมภาคแรก นักผจญภัยสายเนื้อเรื่อง แฟนคลับ Kojima และผู้เล่นใหม่ที่อยากลอง
ไม่แนะนำสำหรับ: ผู้ที่ต้องการเกมแอคชั่นเร็วตลอดเวลา หรือไม่ชอบเกมแนวเดินส่งของโดยสิ้นเชิง
คะแนน: 10 / 10
ข้อดี
- ภาพสวยงามระดับภาพยนตร์ ตั้งแต่ต้นจนจบ
- เพลงประกอบที่มีอารมณ์และบรรยากาศ เติมเต็มประสบการณ์
- ระบบส่งของลื่นไหล หลากหลาย และไม่น่าเบื่อ
- ระบบต่อสู้ดีขึ้น มีน้ำหนักและความยืดหยุ่นมากขึ้น
- UI และระบบควบคุมได้รับการปรับปรุงอย่างมีประสิทธิภาพ
- ธีม “สายสัมพันธ์” ถูกขยายลึกซึ้งและเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น
ข้อเสีย
- เนื้อเรื่องเข้าใจยาก ถ้าไม่เคยเล่นภาคแรกมาก่อน
อย่าลืมติดตาม Gamer555 เพื่อไม่พลาดข่าวสารเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
Discussion about this post