Civilization VII ได้มาถึงแล้ว และจากที่เราได้ทดสอบมาเมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ ดูเหมือนภาคนี้จะสามารถดึงผู้เล่นใหม่เข้าสู่ซีรีส์ได้ง่ายที่สุด แถมยังสดใหม่และน่าสนใจสำหรับแฟนเกมที่เป็นมือเก่า ไปดูกันได้ในบทความ รีวิว Civilization VII นี้
สำหรับในภาคนี้ Firaxis Games นำเสนอระบบใหม่ Three-Age System, ระบบการต่อสู้ที่ได้รับการปรับปรุงพร้อมการแนะนำ Commanders, และระบบการพัฒนาอารยธรรมที่ลึกซึ้งขึ้น ซึ่งผู้เล่นสามารถผสมผสานผู้นำและอารยธรรมต่าง ๆ ได้ รวมทั้งระบบการทูตที่ได้รับการปรับปรุงซึ่งไม่ใช้ทองคำเป็นหลักแล้ว พร้อมกันนี้ผู้เล่นจะต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งเพิ่มปั่นป่วนและความสมจริงให้กับโลกในเกม
เกมเพลย์
Three-Age System
Civilization VII ได้นำเสนอ Three-Age System ซึ่งแบ่งช่วงเวลาในการเล่นออกเป็น 3 ยุคที่แตกต่างกัน โดยแต่ละยุคจะมีองค์ประกอบเฉพาะ เช่น ทรัพยากร, ระบบการปกครอง, และเทคโนโลยีในยุคนั้นๆ
- ยุคโบราณ (Antiquity)
- ยุคการสำรวจ (Exploration)
- ยุคสมัยใหม่ (Modern)
โครงสร้างนี้แทนที่การพัฒนาอารยธรรมจากยุคก่อนๆ ที่เริ่มต้นจากยุคโบราณและพัฒนาขึ้นไปสู่ยุคต่อๆ ไป ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากเกมภาคก่อนๆ ที่ผู้เล่นจะก้าวหน้าต่อไปโดยไม่มีการแบ่งยุคที่ชัดเจน แต่ละยุคจะมีความท้าทาย, เทคโนโลยี, และโอกาสทางยุทธศาสตร์ที่แตกต่างกัน ทำให้การเล่นเกมมีพัฒนาการที่ราบรื่นและมีผลกระทบอย่างชัดเจนเมื่อเปลี่ยนยุคไป
การเปลี่ยนยุคแต่ละยุคจะมีการนำเสนอกลไกใหม่ๆ, ความท้าทาย, และโอกาสที่กระตุ้นให้ผู้เล่นต้องปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนยุคไม่ได้แค่การปลดล็อกเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่มันจะปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นเกม เช่น ยุคโบราณมุ่งเน้นการขยายตัวของอารยธรรม, การสร้างเมืองที่มั่นคง และการต่อสู้เบื้องต้น ขณะที่ยุคการสำรวจนำเสนอความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี, การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม และการปฏิสัมพันธ์ทางการทูตที่มากขึ้น ส่วนยุคสมัยใหม่จะเป็นการแสดงถึงจุดสูงสุดของการพัฒนาอาณาจักรด้วยหน่วยทหารที่ทรงพลัง, การตัดสินใจระดับโลก และการเติบโตทางเทคโนโลยีที่เหลือเชื่อ
ระบบนี้ช่วยให้การเล่นเกมมีความต่อเนื่องและน่าสนใจ ลดปัญหาความน่าเบื่อในช่วงกลางเกมที่ผู้เล่นบางคนเคยพบในเกมภาคก่อน ๆ และทำให้การเล่นเกมดูดึงดูดตลอดการเล่น เรารู้สึกว่ามันช่วยป้องกันไม่ให้เกมหยุดนิ่งในช่วงกลางจนถึงปลาย ทำให้เราต้องปรับกลยุทธ แทนที่จะปล่อยจอยปั๊มเมืองไปเรื่อยๆ
การพัฒนาอารยธรรม
ใน Civilization VII อารยธรรมที่ผู้เล่นเลือกในช่วงเริ่มต้นจะไม่กำหนดทั้งเกมอีกต่อไป โดยเมื่อผู้เล่นเปลี่ยนจากยุคหนึ่งไปยังอีกยุคหนึ่ง จะสามารถเปลี่ยนอารยธรรมได้ในขณะที่ยังคงเก็บองค์ประกอบสำคัญจากการเลือกในอดีต แต่ก็จะมีอารยธรรมใหม่ที่มาพร้อมกับโบนัส, หน่วย และอาคารใหม่ ๆ
ตัวอย่างเช่น ผู้เล่นอาจเริ่มต้นเป็นมายาในยุคโบราณ โดยเน้นการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เมื่อถึงยุคการสำรวจ อาจเปลี่ยนเป็น ฮาวาย ซึ่งจะได้รับโบนัสทางวัฒนธรรมเฉพาะตัว สุดท้ายในยุคสมัยใหม่ อาจจะปรับเปลี่ยนไปเป็นญี่ปุ่นในยุคเมจิ โดยกลับมาเน้นพัฒนาวิทยาศาสตร์เช่นเดิมจากตอนแรก
ระบบนทำให้สามารถเล่นได้โดยที่ไม่รู้สึกเบื่อ ยิ่งเป็นผู้เล่นที่พยายามหากลยุทธ์ที่ดีที่สุดแล้ว ยิ่งต้องจับคู่เหล่าอารยธรรมใหม่ๆ วนไป โดยไม่ว่าจะเล่นไปกี่ครั้งก็ไม่เหมือนกัน เนื่องจากการเลือกคอมโบที่แตกต่างกันจะให้จุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ต้องถูกจำกัดให้เล่นในสไตล์เดียวเท่านั้น และยังสามารถปรับกลยุทธ์ได้ระหว่างเกมเพื่อเปลี่ยนวิธีการตัดสินใจ นอกจากนี้ระบบยังสร้างสมดุล เช่น บางอารยธรรมอาจเก่งในช่วงต้น แต่ตกลงในช่วงหลัง ในขณะที่บางอารยธรรมอาจอ่อนแอในตอนแรกแต่จะเติบโตในยุคหลัง การผสมผสนานเหล่านี้จะทำให้เกิดคอมโบที่ปกติภาคก่อนๆ ไม่เคยมี
ผู้เล่นบางคนอาจพบว่าระบบผสมผสานอารยธรรมนี้น่าสนใจ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะเป็นที่ถกเถียงในหมู่แฟน ๆ ที่เล่นมายาวนาน เนื่องจากเสน่ห์ของเกมเก่า ๆ คือการที่ผู้เล่นจะอยู่กับอารยธรรมเดียวที่ผู้นำเป็นตัวแทนไปตลอดทั้งเกม อย่างเช่น การเล่นในบทบาทของ Augustus กับจักรวรรดิโรมันไปตลอดเกม แต่การที่สามารถสร้างจักรวรรดิได้โดยการผสมผสานอารยธรรมต่าง ๆ ก็สอดคล้องกับประวัติศาสตร์จริงมากขึ้น เพราะอารยธรรมในโลกจริงได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในระยะเวลาต่าง ๆ จักรวรรดิมองโกล ก็ไม่ได้อยู่จนถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งอาจจะเป็นแนวทางที่ Firaxis Games ต้องการให้ผู้เล่นได้สัมผัส สำหรับเรามองว่ามันเป็นระบบที่น่าสนใจอย่างมาก แต่กควรเปิดช่องให้ผู้เล่นสามารถเลือกที่จะเล่นกับอารยธรรมเดียวที่ผู้นำเป็นตัวแทนตลอดทั้งเกมดังเช่นภาคเก่า เช่นเดียวกัน
การปรับปรุงการบัญชาการและการรบ
การรบใน Civilization VII ได้รับการปรับปรุงอย่างมาก โดยลดการจัดการหน่วยแบบยิบย่อย และเพิ่มการตัดสินใจทางทหารที่มีความหมายมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดคือการเพิ่ม “ผู้บัญชาการ” (Commanders)
ผู้บัญชาการคือหน่วยที่มีพลัง ซึ่งมีทักษะเฉพาะตัวและทำหน้าที่เป็นจุดศูนย์กลางของกองทัพ มีความสามารถพิเศษและตัวเลือกทางยุทธศาสตร์ รวมถึงการเป็นตัวหลักในการทำสงคราม แต่ละอารยธรรมจะสามารถเข้าถึงผู้บัญชาการที่แตกต่างกัน ซึ่งจะให้โบนัสในการรบ (เช่น การเพิ่มการเคลื่อนที่, พลังโจมตี) สามารถรวมหน่วยต่าง ๆ ไว้ภายใต้ผู้บัญชาการเดียวกัน และเปิดใช้งานกลยุทธ์ทางทหารพิเศษผ่านการอัพเกรดสกิล
การปรับปรุงนี้ช่วยให้เกมเพลย์ดีขึ้น เนื่องจากแทนที่จะต้องจัดการหน่วยเป็นร้อย ๆ ตัว ผู้บัญชาการจะรวมหน่วยต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ทำให้การวางแผนกลยุทธ์สะดวกขึ้น และลดความยุ่งเหยิงจากการจัดการหน่วยหลายตัว ผู้บัญชาการเป็นหน่วยเดียวที่สามารถรวมหน่วยที่อยู่ใกล้เคียงเข้าไปใน “กลุ่ม” ซึ่งจะได้รับประโยชน์ต่าง ๆ เช่น การเพิ่มโบนัสการเคลื่อนที่ให้สามารถย้ายได้เร็วขึ้น เมื่อถึงจุดหมายคุณสามารถแยกหน่วยออกจากผู้บัญชาการและส่งไปยังพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อเตรียมการโจมตีหรือป้องกันได้
ผู้เล่นยังสามารถย้ายกองทัพทั้งกองได้อย่างมีประสิทธิภาพแทนที่จะต้องย้ายหน่วยทีละตัว ทำให้การเคลื่อนที่ของกองทัพรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้กลยุทธ์การรบขั้นสูง เช่น การโจมตีจากด้านข้างและการตั้งรับที่ดี ผู้บัญชาการสามารถให้โบนัสแก่หน่วยใกล้เคียง ขึ้นอยู่กับการเลือกในต้นไม้ทักษะของคุณ เช่น ทำให้หน่วยสามารถเคลื่อนไหวทันทีหลังจากแยกหน่วย, ให้หน่วยได้รับพลังรบเมื่อป้องกัน, หรือแม้กระทั่งทำให้ผู้บัญชาการสร้างทองสำหรับแต่ละหน่วยที่ถูกบรรจุภายใน
ระบบนี้ช่วยรักษาสมดุลระหว่างการทำให้เกมเพลย์สะดวกขึ้นและเพิ่มความลึกในการวางแผน ทำให้การทำสงครามมีความน่าสนใจมากขึ้น โดยไม่ต้องจัดการหน่วยทีละตัว นับเป็นการเพิ่มความหลากหลายในการวางกลยุทธ์ในการรบ
การปรับปรุงการทูต
การทูตใน Civilization VII ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยการเพิ่มระบบ “อิทธิพล” (Influence) ให้เป็นสกุลเงินหลัก ผู้เล่นไม่สามารถโยนทองไปให้ผู้นำเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการอีกต่อไป อิทธิพลจะสะสมทุกเทิร์น คล้ายกับทอง และสามารถใช้เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์, เจรจาข้อตกลง, หรือดำเนินการสอดแนม ตัวอย่างเช่น ผู้เล่นสามารถใช้ อิทธิพลเพื่อเปิดพรมแดน, ปรับปรุงความสัมพันธ์ทางการค้า, สร้างพันธมิตร หรือแม้กระทั่งขโมยเทคโนโลยีจากคู่แข่ง ระบบนี้เพิ่มความลึกให้กับการมีปฏิสัมพันธ์ทางการทูต และทำให้ผู้เล่นต้องบริหารจัดการอิทธิพลของตนอย่างรอบคอบเพื่อบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์
ผู้นำมีสามวิธีในการตอบสนองคุณ ได้แก่ การ “สนับสนุน” (Support) ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นด้วยและได้รับประโยชน์ร่วมกัน, การ “ยอมรับ” (Accept) ซึ่งเห็นด้วยกับเงื่อนไขของผู้นำและมักจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา, และการ “ปฏิเสธ” (Reject) ซึ่งสามารถปฏิเสธข้อเสนอของผู้นำได้
การสนับสนุนและการปฏิเสธต้องใช้อิทธิพล แต่การยอมรับไม่ต้องใช้อิทธิพล ระบบนี้ทั้งมีปฏิสัมพันธ์ มีรางวัล และมีส่วนร่วมมากกว่าการแค่ทุ่มทองเพื่อแก้ปัญหา ในขณะที่ระหว่างการเล่นเราได้มีทองมากเกินกว่าที่เราต้องการจนไม่รู้จะทำอย่างไรกับทองที่เหลืออยู่ก็ตาม แต่โดยรวม ระบบนี้ทำให้การทูตมีความเคลื่อนไหวและสมจริงมากขึ้น หลีกเลี่ยงการ “ซื้อ” พันธมิตรอย่างง่ายดาย
ภัยพิบัติธรรมชาติ
ภัยพิบัติธรรมชาติกลับมาอีกครั้งจาก Civ VI: Gathering Storm แต่ใน Civilization VII มันมีบทบาทที่สำคัญมากขึ้นกว่าเดิม ในระหว่างการเล่น เราได้เผชิญกับน้ำท่วม การระเบิดของภูเขาไฟ และแม้กระทั่งสึนามิที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเมืองต่างๆ แม้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในการสร้างอารยธรรมและขยายเมือง แต่มันก็มีความสวยงามทางสายตาเช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบกับคุณสมบัติใน Civ VI: Gathering Storm ภัยพิบัติธรรมชาติมีความถี่และผลกระทบมากขึ้นใน Civilization VII พวกมันไม่สามารถทำนายได้และทำให้ผู้เล่นต้องปรับตัวในเวลาจริง
หนึ่งในผลกระทบทางยุทธศาสตร์ของสิ่งนี้คือผู้เล่นต้องตัดสินใจว่าจะสร้างใหม่ ย้ายที่ตั้ง หรือปรับตัวเมื่อมันเกิดขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงและรางวัลในตัวมันเอง ตัวอย่างเช่น บางพื้นที่ เช่น ริมฝั่งแม่น้ำ ให้ทรัพยากรที่ดีแต่มีความเสี่ยงสูงต่อภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม
สำหรับเรา สิ่งนี้ทำให้โลกในเกมมีชีวิตชีวามากขึ้นและบังคับให้ผู้เล่นต้องตัดสินใจในระยะยาวเกี่ยวกับการอยู่รอด ความเป็นไปได้ของภัยพิบัติทำให้การตัดสินใจภายในแคมเปญมีความตึงเครียดและลึกซึ้งขึ้น เป็นการเพิ่มมิติของความไม่แน่นอนให้กับแคมเปญของคุณ
การสร้างเมืองและการขยายเมือง
กลไกการสร้างเมืองได้รับการปรับปรุงจากเกมภาคก่อนหน้านี้เพื่อเสนอตัวเลือกยุทธศาสตร์ที่ลึกซึ้งมากขึ้น โดยผู้เล่นต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพแวดล้อม ความพร้อมของทรัพยากร และอารยธรรมที่อยู่ใกล้เคียงเมื่อวางแผนการขยายเมือง นอกจากนี้ยังมีการแบ่งเขตการสร้างเป็น “เขตชนบท” (Rural Districts) และ “เขตเมือง” (Urban Districts)
เขตชนบทจะถูกสร้างขึ้นเมื่อมีการปรับปรุงแปลงที่ดินภายในชุมชน เช่น การสร้างค่าย ฟาร์ม สวนปลูก หรือเลี้ยงสัตว์ หากผู้เล่นเลือกที่จะสร้างสิ่งก่อสร้างเช่น อัลทาร์ หรือห้องสมุดบนแปลงที่ดินนี้ จะทำให้กลายเป็นเขตเมือง ผู้เล่นสามารถวางอาคารได้สูงสุดสองหลังในเขตเมือง และอาคารเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีธีมเหมือนกัน แตกต่างจากเขตใน Civilization VI
เขตเมืองสามารถวางทับกับการปรับปรุงที่ดินที่มีอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้ผู้เล่นได้รับการคืนเงินเพื่อนำไปปรับปรุงแปลงที่ดินอื่นในชุมชนนั้นได้ ขณะที่เขตชนบทสามารถแปลงเป็นเขตเมืองได้ แต่ไม่สามารถทำในทางกลับกันได้ อาคารต่างๆ จะมีโบนัสจากการตั้งอยู่ในพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับลักษณะธรรมชาติและโครงสร้างที่ผู้เล่นสร้างขึ้น โบนัสเหล่านี้เริ่มต้นจากเล็กน้อย แต่ผลกระทบจะยิ่งใหญ่ขึ้นเมื่อคุณวางอาคารมากขึ้นในพื้นที่เมือง
ตัวอย่างเช่น การสร้างเขตทหารบนเนินเขาจะให้ข้อได้เปรียบในการป้องกัน ขณะที่การสร้างศูนย์การค้าริมแม่น้ำจะช่วยเพิ่มผลผลิตทางเศรษฐกิจ ความลึกซึ้งนี้เพิ่มมิติใหม่ในการบริหารจักรวรรดิ
การออกแบบกราฟิกและงานศิลป์
Civilization VII เป็นการพัฒนาอย่างมากจากภาคก่อนหน้าในแง่ของกราฟิก เกมมีสไตล์ศิลปะที่สดใสและมีรายละเอียดสมจริงที่สร้างสมดุลระหว่างความสมจริงและการเข้าถึง ซึ่งช่วยให้ผู้เล่นสามารถแยกแยะหน่วยต่างๆ อาคาร และภูมิประเทศได้ง่ายขึ้น เป็นการปรับปรุงที่สำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับเกมภาคก่อนหน้านี้
การเลือกใช้สีและการออกแบบช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่สมจริงและทำให้แต่ละอารยธรรมมีชีวิตชีวา รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพแสงและการเรนเดอร์ภูมิประเทศที่ทำให้เกมมีภาพที่สวยงาม แม้เมื่อซูมเข้าไปใกล้ การออกแบบนี้ช่วยให้การต่อสู้ การสร้างเมือง และการสำรวจโลกมีความสมจริงมากยิ่งขึ้น
อีกการปรับปรุงคือการเคลื่อนไหวของหน่วยและเมืองที่มีความราบรื่นและมีความเคลื่อนไหวที่มากขึ้น ผู้นำจะแสดงการเคลื่อนไหวที่มีชีวิตชีวาบนหน้าจอการโต้ตอบทางการทูต เพิ่มบุคลิกภาพให้กับแต่ละผู้นำ หน่วยเคลื่อนที่อย่างราบรื่นทั่วแผนที่ และการเจริญเติบโตของเมืองจะถูกแสดงออกผ่านโครงสร้างพื้นฐานที่ขยายตัวและกิจกรรมที่ยุ่งเหยิง การเคลื่อนไหวเหล่านี้ทำให้โลกในเกมมีชีวิตและพัฒนาไปตามการกระทำของผู้เล่น
ส่วน UI ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อความชัดเจนและความสะดวกในการใช้งาน เมนูต่างๆ มีความเป็นมิตรและข้อมูลสำคัญสามารถเข้าถึงได้ง่ายโดยไม่ทำให้หน้าจอรก Tooltips ให้คำอธิบายรายละเอียดของกลไกเกม ช่วยให้ทั้งผู้เล่นใหม่และผู้เล่นที่มีประสบการณ์สามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล
เสียงและดนตรี
หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นของ Civilization VII คือซาวด์แทร็กที่ได้รับการเรียบเรียงอย่างสวยงามและหลากหลายทางวัฒนธรรม Firaxis ยังคงรักษาประเพณีในการผสมผสานดนตรีที่พัฒนาไปตามการเดินทางของผู้เล่นผ่านประวัติศาสตร์ ทำนองดนตรีจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคที่เล่นและอารยธรรมที่เลือก ซึ่งทำให้ทุกๆ การเล่นเป็นประสบการณ์ที่สมจริงและไม่ซ้ำกัน
แต่ละยุคมีเอกลักษณ์ทางดนตรีของตัวเอง โดยทำนองดนตรีจะซับซ้อนมากขึ้นเมื่อผู้เล่นดำเนินเกมไป ดนตรีในช่วงต้นเกมใช้เครื่องดนตรีโบราณที่เรียบง่าย ในขณะที่ยุคหลังๆ จะมีการจัดเรียงเครื่องดนตรีที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสังคม
เสียงบรรยากาศและเสียงที่เกี่ยวข้องกับการเล่นก็มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความสมจริงและยุทธศาสตร์ในเกม เสียงเหล่านี้ได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับบรรยากาศของเกม เสียงจากกิจกรรมในเมืองหรือเสียงการปะทะในสนามรบจะเพิ่มความสมจริงและให้ข้อมูลเสียงที่มีประโยชน์ในระหว่างการเล่น
สรุป รีวิว Civilization VII
Civilization VII เป็นเกมที่มีนวัตกรรมและความทะเยอทะยานมากที่สุดในซีรีส์ ด้วยระบบ Three-Age System, การพัฒนาอารยธรรมใหม่ และการปรับปรุงระบบการต่อสู้และการทูต มันเป็นการเปิดทางให้แนวเกมกลยุทธ์ 4X สดใหม่กว่าเดิม
สำหรับผู้เล่นใหม่ที่อยากลอง Civilization ครั้งแรก Civilization VII มีการเข้าถึงที่ง่ายกว่าภาคก่อน ๆ แต่ว่าสำหรับแฟนเกมเก่ามันอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คุ้นชิน ซึ่งบางทีอาจจะต้องใช้เวลาปรับตัว แต่โดยรวมแล้วมันคุ้มค่าที่จะลอง (ที่สำคัญมีอารยธรรมสยามด้วย)
ข้อดี:
- ระบบ Three-Age ที่มีโครงสร้างชัดเจน
- ความยืดหยุ่นในการเลือกผู้นำ-อารยธรรม
- การปรับปรุงการต่อสู้ที่มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้น
- การทูตที่มีความซับซ้อนลึกซึ้ง
- การปรับปรุงกราฟิกและเสียง
ข้อเสีย:
- ความสมดุลอาจมีปัญหาบางประการ ทำให้ผู้นำหรือบางอารยธรรมเก่งกว่าแบบโดดเด่น
- ผู้เล่นเก่าบางคนอาจไม่ชอบระบบการเปลี่ยนอารยธรรม
คะแนน: 8.5/10
Sid Meier’s Civilization VII จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 กุมภาพันธ์นี้ บน Nintendo Switch, PlayStation 4, PlayStation 5, Xbox One, Xbox Series X/S และ PC ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ผ่านเว็บไซต์ทางการ
อย่าลืมติดตาม Gamer555 เพื่อไม่พลาดข่าวสารเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
Discussion about this post