ระหว่างงาน Thailand Game Show 2023 เราได้รับโอกาสพูดคุยโดยตรงกับคุณ Naoki Hamaguchi director ของเกม Final Fantasy VII Rebirth และได้ถามคำถามใน บทสัมภาษณ์ Final Fantasy VII Rebirth ไปอ่านกันได้เลย
ระบบ Synergy ได้เพิ่มมุมการเล่น นอกจากนี้ยังบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ภายในปาร์ตี้ กระบวนการออกแบบระบบนี้ ทั้งการหาคอมโบรวมถึงบทสนทนาระหว่างตัวละครเป็นมาอย่างไร
Naoki Hamaguchi: สำหรับกระบวนการออกแบบ เราไม่ได้เปรียบเทียบกับเวอร์ชั่นก่อนหน้าแต่อย่างใด เราแค่มองว่ามีอะไรที่ต้องออกแบบเพิ่ม ต้องใส่มาในฉาก และอย่างที่คุณถาม เราอยากให้เห้ฯถึงความสัมพันธ์ของตัวละครที่เพิ่มขึ้น
หลังจากเราวางจำหน่ายภาค Remake เราก็เริ่มงานพัฒนา Rebirth ในทันที และคิดว่าควรเพิ่มอะไรเข้าไปในระบบ Synergy และเพื่อที่จะบรรลุเป้านั้นเราเลยต้องมีเวลาทำให้เราพัฒนาทั้ง Rebirth และ INTERmission ไปพร้อมกัน และส่วนที่สร้างขึ้นใน INTERmission ก็ถูกนำมาใช้เป็นแรงบันดาลใจของ rebirth
ทีมงานได้เพิ่มความสัมพันธ์ในปาร์ตี้ มันจะมีฉากระหว่างตัวละครที่ผู้เล่นต้องปลดล็อคเองเป็นพิเศษไหม
Naoki Hamaguchi: เปรียบเทียบกับภาคก่อน นอกจากเนื้อเรื่องหลักแล้วมันยังมี side quest และเนื้อหาของเกมให้สำรวจ ดังนั้นมันจะมีสิ่งแตกต่างที่ผู้เล่นจะได้รับ(อนุมานได้ว่ามี) แต่ละคนจะได้รับประสบการณ์ต่างกัน ถึงกระนั้นก็เป็นแค่ส่วนเสริม
แรงบันดาลใจอะไรที่มีส่วนสำคัญที่สุดในการทำการรีเมค Final Fantasy VII
Naoki Hamaguchi: เมื่อเราตัดสินใจที่จะทำภาครีเมค การที่จะเชื่อเกมภาคเก่ากับภาคใหม่มันเป็นเรื่องยากเพราะ Final Fantasy VII เป็นเกมที่มีผู้คนรักอยู่ทั่วโลก ดังนั้นการปรับแต่งว่าจะคงสิ่งไหนอยู่ จะตัดสิ่งไหนออกจึงเป็นเรื่องยากในกระบวนการพัฒนาอย่างมาก เพราะเราไม่รู้ว่าผู้เล่นจะเข้าใจหรือไม่ว่าจุดนี้เปลี่ยนไปเพราะอะไร จุดนี้ยังคงเดิมอยู่เพราะอะไร
มันก็ไม่เชิงเป็นแรงบันดาลใจเสียทีเดียว แต่ว่าผมได้ไปดู live action ของ Disney ที่มีการปรับเปลี่ยนมาจากต้นฉบับ ซึ่งพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนเนื้อเรื่องไปจากเดิม แต่ไปโฟกัสในจุดที่เขาเคยอยากทำในตอนนั้น แต่ไม่สามารถทำได้ด้วยข้อจำกัดต่างๆ ให้มาเป็นความจริงในตอนนี้
มันมีองค์ประกอบไหนภายในเกม Final Fantasy VII เวอณืชั่นต้นฉบับ ที่คุณคิดว่ามันน่าจะเจ๋งมากถ้ามาอยู่ในยุคปัจจุบัน
Naoki Hamaguchi: เราเก็บรายละเอียดทุดจุดในเกมเวอร์ชั่นต้นฉบับ ดังนั้นมันคงเป็นการยากที่จะบอกว่าจุดไหนที่น่าคิดมากกว่า แต่ถ้าจะบอกว่าอะไรที่ติดอยู่ในความทรงจำของทีมเรา คงเป็น Rufus’ ceremony เรายังคงเคารพสิ่งที่เกมภาคต้นฉบับทำมา แต่เปลี่ยนในส่วนที่มันสามารถทำได้เพิ่มความสนุกและความอลังการ
ใน Rebirth เมื่อมาถึง Junon Cloud สามารถสร้างกองทหารเพื่อเดินพาเหรดของตัวเองได้ ดังนั้นผู้เล่นแต่ละคนก็จะมีลักษณะของกองทหารที่มาเดินต่างกัน ให้ประสบการณ์ต่างกัน มันแสดงให้เห็ฯชัดเจนซึ่งสิ่งที่เราสามารถทำในตอนนี้เทียบกับสิ่งที่เคยทำมาในอดีต
ทุกคนฮาที่ Red XIII มาขี่ Chocobo คุณช่วยลงรายละเอียดในส่วนนี้หน่อยได้ไหมว่าทำไมทีมงานตัดสินใจแบบนี้
Naoki Hamaguchi: แน่นอน เรามีเหตุผลหลักๆ 2 ข้อ อย่างแรกคือ Chocobo มีไว้ขี่การทำอนิเมชั่นของ Red XIII ขี่ Chocobo มันน่ารักมากๆ ดังนั้นทีมงานเห็นปุ๊บเลยแบบว่าผู้เล่นต้องชอบแน่ๆ เลยใส่มา
เหตุผลข้อที่สองคือ Chocobo ภาคนี้มีความสามารถต่างกัน ทั้งกระโดดและบินได้ ซึ่งถ้า Red XIII ตัวเพียวๆ ก็จะไม่สามารถตามปาร์ตี้ไปได้เมื่อคนในทีมเริ่มใช้ความสามารถนั้น ดังนั้นวิธีแก้ก็คือ Red XIII ควรขี่ Chocobo ได้นั่นแหละ
อย่างที่หลายคนได้สัมผัสมาในเดโม นิสัยของ Sephiroth ออกจะขี้เล่นมากกว่าที่คาดคิด ทีมงานได้วางแผนอย่างไรในส่วนนี้ถึงบทบาทต่างๆ ที่เราจะได้สัมผัสจากการเล่น Sephiroth
Naoki Hamaguchi: ฉากของ Sephiroth และ Cloud มันเกิดขึ้นที่ Nibelheim 6 ปีก่อนเหตุการณ์ปัจจุบัน ซึ่งตอนนั้นเขายังคงมีความเป็นคนสูงอยู่
นอกจาก Sephiroth แล้ว Cloud ก็ยังมีความขี้เล่น โผงผางมากกว่าที่ควรจะเป็นเพราะมันเป็ฯความทรงจำที่อยู่ในตัวเขา (อย่างที่ทุกคนรู้ๆ กันว่าจริงๆ มันความจำของใคร) ดังนั้นเราเลยวางแผนทำตรงนี้ให้เป็นจริง แสดงให้เห็นอีกด้านของทั้ง Sephiroth และ Cloud
อ้อ จริงๆ ฉากนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมเราทำภาครีเมค อย่างที่ผมบอกว่าเราไม่ได้เปลี่ยนเนื้อเรื่องไป แต่ได้ปรับใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อเล่าเรื่องเดิมอีกครั้ง อย่างเช่นถ้าเป็นกราฟฟิคยุคก่อนฉากนี้ผู้เล่นก็จะไม่สังเกตอะไร แต่พอมาในรีเมค ทุกคนก็รู้ได้ทันทีผ่านการโต้ตอบของ Sephiroth และ Cloud
ต่อจากคำถามเมื่อครู่ ในภารกิจเดียวกันมีแฟนคลับหลายคนชอบคู่จิ้นนี้โดยเฉพาะตอนที่ Sephiroth เรียก Cloud ว่า “เหมือนหมาน้อยเลย(such a puppy)” ทีมงานรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นเสียงตอบรับในแง่บวกถึงการโต้ตอบของคู่นี้
Naoki Hamaguchi: นั่นคือสิ่งที่ทีมพัฒนาต้องการแบบเป๊ะๆ เมื่อเราเลือกฉากที่คู่นี้จะได้มีส่วนร่วมกัน เราเลือกอย่างพิถีพิถันเพื่อที่จะเลือกบทที่เหมาะสมมากมายจนกระทั่งได้สิ่งที่ตอบสนองมากที่สุด
ในภาคก่อนหน้ามันยากมากในการเก็บโทรฟี่ Platinum และต้องเล่นอย่างน้อยสองรอบในการได้มา ในภาคนี้จะยังเป็นแบบนั้นหรือเปล่า
Naoki Hamaguchi: เป็นข่าวดีสำหรับสาย 100% เพราะว่ารอบนี้การได้ถ้วย platinum มันจะยากยิ่งกว่าเดิมอีก 555
เหตุผลก็เพราะว่ารอบนี้เรามีแผนที่กว้างให้ผู้เล่นได้สำรวจเพิ่มเข้ามา ผู้เล่นก็จะรู้สึกมีทางเลือกมากมายในการเล่น รวมถึงเควสรองต่างๆ หรือแม้แต่การย้อนกลับมาเล่นใหม่ มันทำให้การเก็บยากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
Square Enix มีแผนที่จะทำการตลาดเพิ่มใน Southeast Asia ไหมอย่างการทำ localization ในประเทศไทยโดยการมีซับไทยเข้ามา
Naoki Hamaguchi: สำหรับในตอนนี้เราไม่มีแผนการอะไรเพิ่มเติมนอกจากที่เราประกาศออกมา แต่ในอนาคตเราจะลองพิจารณาอีกครั้ง (เศร้าใจแถม Hamaguchi ซังตอบสั้นด้วย)
ในภาค Remake มีเสียงตอบรับมากมายจากผู้เล่น สำหรับเสียงเหล่านี้มีอันไหนไหมที่ตราตรึงใจคุณ หรืออันไหนไหมที่ช่วยในการพัฒนาภาค Rebirth
Naoki Hamaguchi: Final Fantasy VII Remake เป็นโปรเจกต์แบบไตรภาค ถ้าเกมภาคแรกและภาคสองทั้งหมดถูกออกแบบเหมือนกันทั้งหมด ผู้เล่นจะรู้ว่าเกมภาคสามจะเป็นอย่างไรและมันมีโอกาสที่ผู้เล่นจะหมดความสนใจในตัวเกม นั่นทำให้เสียงตอบรับของผู้เล่นย่อมมีผลในการพัฒนาตัวเกม
สำหรับในภาคนี้เราได้เพิ่มความอิสระของตัวผู้เล่น สามารถไปไหนมาไหนได้ สามารถย้อนไปในจุดเก่าจากความคาดหวังของผู้เล่นที่มี คุณจะมุ่งทำเนื้อเรื่องหลักอย่างเดียวก็ได้ จะอ้อมไปทำเควสรองก่อนก็ได้ แต่ถึงแม้จะเลือกกทางไหนผู้เล่นก็จะไม่รู้สึกถูกบีบบังคับ เพราะทั้งหมดผู้เล่นตัดสินใจเองต่างจาก Remake ที่เนื้อเรื่องและตัวเกมมีความเป็นเส้นตรงมากกว่าและผู้เล่นไม่มีทางเลือกมากนัก
สำหรับสิ่งที่ติดอยู่ในหัวของผมตอนพัฒนา Rebirth ก็คือมินิเกมใน Wall Market ผมเป็นคนตัดสินใจว่าทำให้มันยากๆ ไปเลย เพื่อให้ผู้เล่นที่ผ่านมาได้รู้สึกว่าตัวเองนี่อย่างเจ๋ง และเมื่อเกมวางจำหน่ายผมก็เข้าไปอ่านคอมเมนต์ของผู้เล่น และเห็นพวกเขาโกรธเกรี้ยวกันแบบว่า “ไอ้บ้าที่ไหนออกแบบมินิเกมนี้ฟะ” พอเห็นแบบนี้ผมนี่มีความสุขสุดๆ 555
และนี่คือทั้งหมดของ บทสัมภาษณ์ Final Fantasy VII Rebirth ที่เราได้มีโอกาสพูดคุยมา ขอบคุณ Hamaguchi ซังที่สละเวลามาตอบคำถามของเราเกี่ยวกับ Final Fantasy VII Rebirth รวมถึงบางข้อในภาคก่อนๆ ด้วย
ก่อนหน้านี้ที่ Tokyo Game Show 2023, ทางเราได้มีโอกาสสัมภาษณ์ Hamaguchi ซังร่วมกับคุณ Tetsuya Nomura และ คุณ Yoshinori Kitase ใครที่พลาดยังไม่ได้อ่าน สามารถอ่านได้เลยที่นี่
Final Fantasy VII Rebirth มีกำหนดการวางจำหน่ายในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2024 รายละเอียดของแต่ละเวอร์ชั่นที่เปิดให้ pre order สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
*เนื้อหาบางส่วนของบทสัมภาษณ์ได้มีการแก้ไขเพื่อให้เข้ากับภาษาไทยมากขึ้น
รอบนี้ด้วยความที่ผู้เขียนได้เจอกับ Hamaguchi ซังโดยตรง ก็ขอขิงด้วยรูปที่ถ่ายร่วมกันพร้อมของที่ระลึกที่มีลายเซ็นต์เรียบร้อย 555
อย่าลืมติดตาม Gamer555 เพื่อไม่พลาดข่าวสารเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
Discussion about this post