ก่อนงาน Tokyo Game Show 2024 เราได้โอกาสพูดคุยกับ คุณ Masaaki Hayasaka – โปรดิวเซอร์ของเกม Dragon Quest III HD-2D Remake แน่นอนว่าได้โอกาสพูดคุยแบบนี้ ย่อมต้องมีเนื้อหาต่างๆ ที่น่าสนใจมาแชร์กัน ไปติดตามได้ใน บทสัมภาษณ์ Dragon Quest III HD-2D Remake นี้
เหตุผลที่ยังคงเป็น 2D ไม่ใช่ 3D
การทำเกม remake แล้วยังเลือกอยู่กับสไตล์ HD-2D แทนที่จะปรับเป็น 3D อาจจะทำให้ผู้เล่นยุคใหม่รู้สึกแปลกๆ โดยคุณ Hayasaka ได้อธิบายไว้ว่าทีมพัฒนาตั้งใจให้เป็นแบบนี้แต่แรก โดยต้องการให้เกมยังคงเสน่ห์ของภาคต้นฉบับให้ผู้เล่นยุคใหม่ได้สัมผัสกัน
“กราฟฟิคสไตล์ HD-2D มันดูดีมาก แม้จะย้อนไปจนถึงเกมต้นฉบับที่เป็นยุคเก่า”
ด้วยความที่เกม Dragon Quest III นั้นมีอายุมากกว่า 30 ปี ทางทีมพัฒนาจึงเชื่อว่าการใช้กราฟฟิคแบบ HD-2D เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างโลกที่ไม่สูญเสียความดั้งเดิมไป เรายังเห็นกราฟฟิคแบบพิกเซล ผสมกับเกมเพลย์และระบบต่างๆ ที่ทันสมัยขึ้นมา มันเป็นการรวมกันของอดีตและปัจจุบัน
Dragon Quest III เป็นที่รู้จักกันในความซับซ้อนของการออกแบบเกม และการทำเช่นนั้นให้ละเอียดเช่นอดีตนั้นไม่ใช่งานง่ายๆ คุณ Hayasaka ได้เผยว่า สิ่งใหม่ๆ ที่นำเข้ามานั้นจะเน้นไปในส่วนของเกมเพลย์ เพื่อให้ส่วนอื่นๆ นั้นยังคงความดั้งเดิมไว้อยู่อย่างครบถ้วน ผู้เล่นยุคเก่าที่กลับมาเล่นเกมนี้ก็จะได้สัมผัสมันอย่างชัดเจน
ควมท้าทายหนึ่งของการสร้างภาค remake ก็คือการหาจุดสมดุลของการเสริมสิ่งใหม่ กับการรักษาสิ่งเก่า ซึ่งเกม remake หลายๆ เกมก็เปลี่ยนเกมเพลย์ไปเลย แต่สำหรับ Dragon Quest III คุณ Hayasaka เน้นย้ำว่าหลักสำคัญของการ remake นี้คือทำอย่างไรก็ได้ให้ตรงกับต้นฉบับมากที่สุด
“ในระหว่างการทำงาน จะมีหลายจุดที่เรารู้สึกว่ามันเปลี่ยนมากเกินไปแล้ว ผลสุดท้ายก็ต้องตัดส่วนนั้นทิ้ง” เขากล่าว
แม้จะมีหลักการทำงานที่ทุกอย่างต้องคงความดั้งเดิมไว้ ทีมพัฒนาก็ได้ปรับปรุงจุดเล็กๆ ในหลายๆ จุด เพื่อให้เกมไม่ได้กลายเป็นเกมตกยุคและเข้าถึงผู้เล่นยุคใหม่ คุณ Hayakasa จำได้ว่าเจ้าตัวเคยตัดสินใจหลายครั้งที่จะปรับสิ่งที่ดูใหม่เกินไป ซึ่งมันอาจทำให้แฟนจากภาคต้นฉบับรู้สึกกระอักกระอ่วน ผลสุดท้ายทั้งหมดเลยกลายเป็นการปรับในจุดเล็กๆ เพื่อให้คงความดั้งเดิมให้มากที่สุดนั่นเอง
สิ่งที่เรียนรู้จาก Octopath Traveler
ดนตรีประกอบถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของซีรีส์ Dragon Quest และเช่นเดียวกันใน Dragon Quest III HD-2D Remake แนวเพลงแบบออเครสต้านั้นไม่ได้เสริมแค่งานภาพหรือเสียง แต่ยังช่วยดึงองค์ประกอบโดยรวมของเกมให้ดีขึ้น ก่อนหน้า คุณ Hayasaka ทำงานเป็นผู้ช่วยโปรดิวเซอร์และผู้กำกับงานเสียงกับ Octopath Traveler ทำให้เขายิ่งเน้นในด้านงานเพลงอย่างมาก
“เพลงประกอบแบบออเครสต้านั้นช่วยเพิ่มบรรยากาศของการงานภาพสไตล์ HD-2D อย่างมาก” เขากล่าว
การตัดสินใจใช้เพลงแบบออเครสต้าแทนที่จะใช้ soundtrack แบบ 8-bit นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจง่ายๆ มันมีเส้นบางๆ ของการยึดติดกับความดั้งเดิมกับการเปืดสิ่งใหม่ๆ ซึ่งสุดท้ายแล้วเขาก็เลือกเพลงสไตล์ออเครสต้าซึ่งน่าจะเหมาะกับโลกอันกว้างใหญ่ Dragon Quest III
ประสบการณ์ของ Hayasaka กับ Octopath Traveler ทำให้เขาได้แนวคิดหลายอย่าง ซึ่งนำมาใช้กับการพัฒนา Dragon Quest III HD-2D Remake ในฐานะเกมแรกๆ ของค่ายที่ทำแบบ HD-2D Octopath Traveler ถือเป็นรากฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงส่วนผสมอันลงตัวของงานยุคเรโทรและเทคโนโลยีสมัยใหม่
แม้เจ้าตัวจะเป็นโปรดิวเซอร์แต่แน่นอนว่าเมื่อพูดถึง Dragon Quest เราต้องพูดถึงคุณ Yuji Horii ซึ่งทีมของคุณ Hayasaka นั้นก็ทำงานกับบิดาของเกมอย่างใกล้ชิด เพื่อที่ว่าเกมนั้นจะดึงองค์ประกอบจากเกมภาคต้นฉบับมากที่สุด การชี้นำของคุณ Horii นั้นช่วยทำให้เกมอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง
การเล่าเนื้อเรื่องที่ไม่ได้เล่าในภาคต้นฉบับ
ในขณะที่ทีมพยายามคงความเป็นต้นฉบับเอาไว้ แต่มันต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อไม่ให้กลายเป็นการ remake ที่ไม่มีอะไรใหม่เลย และมันจะไม่เข้าถึงผู้เล่นยุคใหม่ คุณ Hayasaka ได้ระบุไว้ว่าเกมภาคต้นฉบับนั้นมีความเร็วในการเล่าเรื่องที่ดีอยู่แล้วและสามารถคงไว้ได้ในระดับนั้นได้ ดังนั้นทีมเลยไปเน้นในด้านเกมเพลย์ ความไวของการต่อสู้เพื่อให้ผู้เล่นใหม่ ไม่เบื่อไปเสียก่อน
อีกหนึ่งสิ่งที่เสริมมาในภาคนี้คือเนื้อเรื่องของ Ortega พ่อของฮีโร่นั่นเอง ในขณะที่ภาคต้นฉบับเนื้อเรื่องของตัวละครนี้นั้นถูกเขียนไว้แค่คร่าวๆ และไม่ได้ทำในหลายส่วนเพราะข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี แต่ในภาค remake นี้ทีมพัฒนาก็ได้โอกาสใส่รายละเอียดของตัวละครนี้ตามความตั้งใจเดิมของคุณ Horii
“แฟนๆ หลายคนน่าจะอยากรู้เรื่องราวของ Ortega และเบื้องลึกเบื้องหลังของเขา” Hayasaka กล่าว
การทำงานกับคุณ Horii ทำให้เราสามารถเพิ่มบทบาทของ Ortega ได้ แล้วเนื้อเรื่องยังคงถูกต้องตามภาคต้นฉบับ
แผนที่ สิ่งแวดล้อมที่ขัดเกลามาอย่างดี
แม้ว่าเกมจะเป็น HD-2D แต่ว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากคือการปรับสิ่งแวดล้อมแบบแบบ 3D แต่ยังคงให้บรรยากาศแบบยุคเก่า “รูปร่างของแผนที่ ตำแหน่งสิ่งปลูกสร้าง ทางเดิน ดันเจี้ยน ทุกอย่างยังคงเดิมแม้จะมีการเปลี่ยนกราฟฟิคไป” คุณ Hayasaka กล่าว
ทีมพัฒนาใช้เวลาสองปีแรกตั้งแต่เริ่มโปรเจกต์ในการปรับปรุงออกแบบแผนที่ใหม่ทั้งหมด เพื่อให้ผู้เล่นเก่ารู้สึกเช่นเคยไม่ต่างจากเกมต้นฉบับ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องได้เกมที่ดูทันยุคสมัย
คุณ Hayasaka ยังได้พูดเ้พิ่มเติมว่าทำไมถึงใช้เวลานานมากขนาดนั้น เพราะว่าหลังจากเล่นเนื้อเรื่องหลักจบแล้ว Dragon Quest III HD-2D Remake ยังมีเนื้อหาอื่นๆ ให้เล่นกันได้ต่อ ทำให้เราถามเขาต่อไปว่าจะได้เจอเนื้อหาแบบไหน คุณ Hayasaka ตอบมาว่าจะมีส่วนเกมเพลย์มากมายให้ผู้เล่นหลังจากเนื้อเรื่องจบ แต่เขาคงบอกรายละเอียดมากไม่ได้ ให้รอการประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
นอกจากเนื้อหาดังกล่าวแล้วส่วนที่ทำให้ใช้เวลานานก็คือความตั้งใจเดิมที่อยากทำให้ Dragon Quest III เป็นเกมที่มีอิสระดั่งเกม open world และทีมก็เชื่อว่าผลงานที่พวกเขาสร้างมาในวันนี้สามารถตอบโจทย์นั้นได้ ให้อิสระแก่ผู้เล่น และยังคงสื่อถึงอารมณ์ของเกมที่เคยให้ในอดีต
ความสำเร็จของ Dragon Quest
คุณ Hayasaka ยังได้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของ Dragon Quest ในญี่ปุ่น ซึ่งเขาขอยกเครดิตให้คุณ Horii อ.Toriyama และคุณ Sugiyama ที่ช่วยกันวางรากญานจนถึงปัจจุบัน ทั้งสามคนถือว่าเป็นมันสมองในการขัยเคลื่อนการพัฒนาเป็นเวลามากกว่าทศวรรษ ซึ่งอิทธิพลของพวกเขายังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม เพื่อให้แฟนๆ ไม่ผิดหวังกับสิ่งที่จะได้พบเจอในแต่ละภาคที่ปล่อยออกมาในอนาคต
“มันยากที่จะสร้างสายสัมพันธ์อันแนบแน่นเมื่อเวลานั้นผ่านไปเรื่อยๆ แต่ผมขอขอบคุณทิศทางของคุณ Horii การทำงานของ อ.Toriyama และคุณ Sugiyama ที่ทำให้ Dragon Quest ยังเป็นเหมือนหนึ่งในวัฒนธรรมอันโดดเด่นของประเทศญี่ปุ่น”
ส่งท้ายถึงแฟนๆ
สำหรับคุณ Hayasaka แล้ว การได้มีส่วนร่วมในการสร้าง Dragon Quest III remake ถือเป็นหนึ่งในเกียรติยศของชีวิต “การที่ผมได้เข้ามาเป็ฯส่วนหนึ่งของซีรีส์ในตำนานอย่าง Dragon Quest III นั้นมันคือสิ่งที่ผมภาคภูมิใจอย่างมาก มันมีแรงกดดันเข้ามาก็จริง แต่พวกเราแปรเปลี่ยนเป็นแรงผลักดัน”
“สำหรับใครที่ยังคงมีความทรงจำในอดีต ต้องบอกว่า Horii-san ผู้สร้างของซีรีส์นี้ยังคคงมีบทบาทกับโปรเจกต์นี้อย่างเต็มที่ ทั้งการบาลานซ์สกิลใหม่ๆ การกำหนดทิศทางต่างๆ เพื่อให้เกมนั้นยังคงรู้สึกเหมือนเมื่อวันวาน”
“สำหรับผู้เล่นใหม่ Dragon Quest III HD-2D Remake ถือเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุดในการเข้ามาสัมผัสโลกของ Dragon Quest เกมเพลย์ที่ปรับให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ กราฟฟิคที่สวยงามในรูปแบบ HD-2D เพลงประกอบที่ยอดเยี่ยม ภาค remake นี้ยังคงเอกลักษณ์ของภาคต้นฉบับและนำสิ่งใหม่ๆ เข้ามาเสริมเติมแต่งเพื่อผู้เล่นในยุคนี้ ผมหวังว่าเกมภาคนี้จะไม่แค่เป็นที่ชื่นชอบของแฟนยุคเก่าเท่านั้น แต่ยังเข้าถึงกลุ่มผู้เล่นใหม่ๆ ผมอยากให้ผู้เล่นได้มาสัมผัสและเข้าใจความสนุก รวมถึงความตื่นเต้นที่ Dragon Quest นั้นจะมอบให้”
Dragon Quest III HD-2D Remake จะวางจำหน่ายในวันที่ 14 พฤศจิกายน บน PlayStation 5, Xbox Series, Nintendo Switch และ PC ใครที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ผ่านเว็บไซต์ทางการ
อย่าลืมติดตาม Gamer555 เพื่อไม่พลาดข่าวสารเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
Discussion about this post