เราได้มีโอกาสสัมภาษณ์ Aoba Miyazaki โปรดิวเซอร์หลักของซีรีส์ My Hero Academia: All’s Justice ตั้งแต่แรกเริ่ม Miyazaki เน้นย้ำว่าเกมนี้ไม่ใช่แค่ภาคต่อ แต่เป็นโปรเจกต์ขนาดใหญ่ที่รวบรวมทุกสิ่งจากซีรีส์ก่อนหน้า และสิ่งที่แฟนๆ รอคอย: ในที่สุดทีม Class 1-A ทั้งหมดก็สามารถเล่นได้ พร้อมด้วยเกมเพลย์ที่น่าตื่นเต้นยิ่งขึ้นซึ่งต่อยอดจากสองเกมก่อนหน้า
สำหรับแฟนๆ นี่เป็นข่าวใหญ่ที่ไม่ต้องสงสัย และอาจเป็นวิธีใหม่ในการเพลิดเพลินกับ My Hero Academia เนื่องจากอนิเมะก็กำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้วเช่นกัน ดังนั้น มันจึงเป็นการเสริมกระแสความตื่นเต้นที่สมบูรณ์แบบ หรืออาจจะเป็นวิธีใหม่ในการสนุกกับมันเลยก็ได้ ลองดูรายละเอียดบทสัมภาษณ์กับ Aoba Miyazaki กันเลย!
Class 1-A ทั้งหมดลงสู่สังเวียน
หนึ่งในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเกมภาคล่าสุดนี้คือการรวมสมาชิกทั้งหมดของ Class 1-A เข้ามาเป็นตัวละครที่เล่นได้ นี่เป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัยสำหรับแฟนๆ แต่สำหรับทีมพัฒนา มันเป็นความท้าทายที่สำคัญ: จะทำอย่างไรให้ตัวละครทุกตัวรู้สึกสมดุล แม้กระทั่งตัวละครที่แทบไม่ได้รับความสนใจในอนิเมะอย่าง Toru Hagakure หรือ Rikido Sato
Miyazaki อธิบายว่าพวกเขาไม่ได้แค่สร้างท่าหรือเทคนิคขึ้นมาเอง ทีมงานได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Shueisha และ Toho Animation เพื่อให้แน่ใจว่าการออกแบบตัวละครและทักษะต่างๆ นั้นเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของผู้สร้างดั้งเดิม “เราต้องการให้ผู้เล่นรู้สึกว่า ‘ถ้าฉันใช้ชุดท่านี้ นี่คือวิธีที่ตัวละครจะเคลื่อนไหวหากมังงะหรืออนิเมะมีเวลาที่จะนำเสนอพวกเขา'” เขาอธิบาย ด้วยเหตุนี้ ตัวละครที่เคยเป็นเพียงตัวประกอบจึงสามารถเปล่งประกายและมีสไตล์การต่อสู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองในเกมได้แล้ว

ความกดดันจากซีซันสุดท้ายและความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่กว่า
ช่วงเวลาการวางจำหน่ายของ All’s Justice ที่มาพร้อมกับซีซันสุดท้ายของอนิเมะทำให้ความกดดันยิ่งหนักขึ้น อนิเมะของสตูดิโอ Bones เป็นที่รู้จักในด้านแอนิเมชันที่ตระการตา และทีมเกมก็ต้องการที่จะมอบความรู้สึกเดียวกันนั้น หรืออาจจะมากกว่านั้น Miyazaki ยอมรับว่า “มันให้ความรู้สึกกดดันมาก เพราะอนิเมะและเกมต่างก็อยู่ในช่วงสุดท้ายของตัวเอง แต่ในเกม ผู้เล่นสามารถควบคุมตัวละครได้โดยตรง และนั่นเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป”
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ยังเห็นได้ชัดจากมุมมองทางเทคนิคด้วย ในขณะที่ก่อนหน้านี้ใช้ Unreal Engine 4 แต่ All’s Justice ในตอนนี้ถูกสร้างขึ้นบน Unreal Engine 5 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงภาพให้ดีขึ้น แต่ยังให้ความรู้สึกของการต่อสู้ที่เข้มข้นยิ่งขึ้น พร้อมด้วยเอฟเฟกต์ที่น่าทึ่งซึ่งเหมาะกับฉากมหากาพย์ของอนิเมะ ไม่น่าแปลกใจที่ทีมงานเลือกใช้ชื่อ “All’s Justice” แทนที่จะใช้หมายเลขสามต่อไป อย่างที่ Miyazaki กล่าวไว้ว่า “เราต้องการแสดงให้เห็นว่านี่คือทุกสิ่งที่เราได้สร้างขึ้นมาจนถึงตอนนี้ บทสรุปของบทสรุปทั้งปวง”

การต่อสู้ 3v3, การทำงานร่วมกัน และระบบใหม่
หนึ่งในฟีเจอร์หลักที่กำหนดเอกลักษณ์ใหม่ของ All’s Justice คือระบบการต่อสู้แบบสามต่อสาม สำหรับทีมพัฒนา ระบบนี้เป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลของพลังระหว่างตัวละคร แทนที่จะบังคับให้ตัวละครทุกตัวมีความเท่าเทียมกันในตัวบุคคล พวกเขาสร้างพื้นที่สำหรับการทำงานร่วมกันของทีม
ตัวละครบางตัวเก่งในการโจมตีระยะไกลแต่อ่อนแอในระยะประชิด ในขณะที่ตัวละครอื่นๆ แข็งแกร่งในการป้องกันแต่เคลื่อนที่ช้า รูปแบบ 3v3 ช่วยให้ผู้เล่นสามารถสร้างทีมที่คอยปิดจุดอ่อนของกันและกันได้ “ดังนั้นมันจึงไม่ใช่แค่ว่าใครแข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นวิธีที่คุณสร้างการผสมผสานทีมที่ดีที่สุด” Miyazaki กล่าว ระบบการสลับตัวละครยังได้รับการขยายให้กว้างขึ้น ทำให้มีตัวเลือกทางยุทธวิธีในการต่อสู้มากขึ้น นอกจากนี้ ฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Rising State ยังช่วยให้ตัวละครสุดท้ายของทีมสามารถเริ่มการต่อสู้ในสภาพที่เพิ่มพลังขึ้น เป็นเหมือนโอกาสสุดท้ายในการพลิกสถานการณ์

เป็นมากกว่าแค่การต่อสู้
แม้ว่าแก่นของเกมเพลย์จะยังคงเป็นการต่อสู้ แต่ Miyazaki เน้นย้ำว่าครั้งนี้ เรื่องราวก็เป็นจุดสนใจหลักเช่นกัน จากความคิดเห็นของผู้เล่นจากเกมก่อนหน้า หลายคนต้องการเรื่องราวและการปฏิสัมพันธ์ของตัวละครมากขึ้น ดังนั้น All’s Justice จึงมีโหมดที่เน้นการเล่าเรื่องมากขึ้น ที่ซึ่งผู้เล่นสามารถเจาะลึกถึงแรงจูงใจ, ที่มา และการเดินทางของเหล่าฮีโร่ฝึกหัดได้
แน่นอนว่าทีมงานไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ Final War Arc ที่จะนำเสนอในเกมได้ เนื่องจากนั่นจะเป็นการสปอยล์ครั้งใหญ่สำหรับอนิเมะ อย่างไรก็ตาม พวกเขารับประกันว่าประสบการณ์ทางอารมณ์ของภาคสุดท้ายนี้จะทรงพลัง “เราต้องการให้ผู้เล่นไม่เพียงแต่ต่อสู้เท่านั้น แต่ยังได้สัมผัสกับการดิ้นรนของการเป็นฮีโร่ เหมือนกับในอนิเมะและมังงะ” Miyazaki กล่าว

เข้าถึงได้สำหรับทุกคน แข่งขันได้สำหรับผู้จริงจัง
ด้วยรายชื่อตัวละครที่มากมายและระบบ 3v3 เกมอาจจะฟังดูซับซ้อน แต่ All’s Justice ถูกออกแบบมาให้ยังคงใช้งานง่ายสำหรับผู้เล่นทั่วไป มันมีระบบควบคุมที่เรียบง่าย แม้กระทั่งโหมดต่อสู้อัตโนมัติที่ให้ CPU เข้าควบคุมการกระทำทั้งหมด ผู้เล่นสามารถแค่กดปุ่มและเพลิดเพลินกับการต่อสู้และการทำงานร่วมกันของตัวละครได้โดยไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญคอมโบ
ในทางกลับกัน ผู้เล่นสายแข่งขันยังคงมีพื้นที่ผ่านโหมดผู้เล่นหลายคนออนไลน์ ที่นี่ ทักษะเชิงกลยุทธ์และความเร็วในการตอบสนองจะถูกทดสอบอย่างแท้จริง ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะแค่มองหาการเล่นแบบสบายๆ หรือประสบการณ์การแข่งขันที่ลึกซึ้งขึ้น ทั้งสองอย่างก็สามารถหาที่ทางได้ใน All’s Justice

โลกที่สดใสยิ่งขึ้นกับสภาพแวดล้อมที่ทำลายได้
อีกหนึ่งรายละเอียดที่น่าสนใจคือสภาพแวดล้อมที่ทำลายได้ องค์ประกอบนี้มีอยู่แล้วในเกมก่อนหน้า แต่ครั้งนี้มันถูกยกระดับไปอีกขั้น กำแพงสามารถแตกร้าว, พื้นสามารถแตกเป็นเสี่ยงๆ และทั้งหมดนี้ให้ความรู้สึกที่แท้จริงถึงความยิ่งใหญ่ของพลังของตัวละครแต่ละตัว “สภาพแวดล้อมที่ทำลายได้คือภาพสะท้อนของพลังของฮีโร่ ยิ่งการทำลายล้างยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาแข็งแกร่งเพียงใด” Miyazaki กล่าว รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้ช่วยเพิ่มความดื่มด่ำ ในขณะเดียวกันก็ทำให้การต่อสู้รู้สึกน่าทึ่งยิ่งขึ้น

ทุกคนสามารถเป็นฮีโร่ได้
ท้ายที่สุดแล้ว ข้อความที่ All’s Justice สื่อออกมานั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ทุกคนสามารถเป็นฮีโร่ได้ Miyazaki สรุปบทสัมภาษณ์โดยกล่าวว่า “ฉันหวังว่าผู้เล่นจะสามารถเพลิดเพลินกับเรื่องราวของตัวละคร, ที่มาของพวกเขา และได้สัมผัสกับความรู้สึกของการเป็นฮีโร่ด้วยตัวเอง”
ด้วยการมุ่งเน้นไปที่ความสมดุลของรายชื่อตัวละคร, การต่อสู้ 3v3 ที่มีไดนามิก, เรื่องราวที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และภาพที่สวยงามขึ้นด้วย Unreal Engine 5, My Hero Academia: All’s Justice ไม่ใช่แค่การสานต่อจากภาคก่อนหน้า แต่มันคือจุดสูงสุดของการเดินทางอันยาวนานเป็นการเฉลิมฉลองสำหรับแฟนๆ My Hero Academia และเป็นจุดเริ่มต้นที่อบอุ่นสำหรับผู้เล่นหน้าใหม่

MY HERO ACADEMIA: All’s Justice จะวางจำหน่ายบน PlayStation 5, Xbox Series, และ PC แต่วันที่วางจำหน่ายยังไม่มีการประกาศมาตอนนี้ สามารถติดตามรายละเอียด wishlist หรือ pre-order ได้ที่ เว็บไซต์ทางการ
อย่าลืมติดตาม Gamer555 เพื่อไม่พลาดข่าวสารเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
Discussion about this post