เกือบ 3 ปีหลังจาก Capcom Fighting Collection ภาคแรกที่เรียกความคิดถึงจากแฟน ๆ เกมต่อสู้อย่างล้นหลาม Capcom กลับมาอีกครั้งกับ Capcom Fighting Collection 2 ที่คราวนี้ไม่ได้แค่หยิบเกมคลาสสิกมารีรันใหม่เท่านั้น แต่ยังขยายขอบเขตของตัวเกมให้พิเศษยิ่งขึ้นด้วยเซอร์ไพรส์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสำหรับแฟนเกมต่อสู้ยุค 90s ถึงต้นยุค 2000s
ถ้าภาคแรกเน้นกลุ่มแฟน Marvel ภาคสองนี้ก็เหมือนถูกสร้างมาเพื่อคนที่เติบโตมากับเกมจากค่าย SNK, KOF ‘98 และแน่นอน Street Fighter III อย่างแท้จริง โดยหนึ่งในไฮไลต์ของคอลเลกชันนี้คือการนำ Capcom vs. SNK หนึ่งในครอสโอเวอร์ระดับตำนานที่เคยเป็นขวัญใจในตู้เกมอาเขตกลับมาให้เล่นกันอีกครั้งบนเครื่องเกมยุคปัจจุบัน ลองจินตนาการดูว่า การดวลกันระหว่าง Ryu กับ Kyo กลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่!

รายชื่อเกมใน Capcom Fighting Collection 2
2D:
- Capcom vs. SNK: Millennium Fight 2000 PRO
- Capcom vs. SNK 2: Mark of the Millennium 2001
- Capcom Fighting Evolution
- Street Fighter Alpha 3 UPPER
3D:
- Power Stone
- Power Stone 2
- Project Justice
- Plasma Sword: Nightmare of Bilstein

เกมเพลย์ที่ยังสนุก แม้ในยุคสมัยใหม่
ประสบการณ์การเล่นยังคงลื่นไหลไม่ว่าจะใช้คอนโทรลเลอร์ธรรมดาหรืออาร์เคดไฟต์สติ๊ก แม้จะเป็นเกมเก่าหลายปีแล้ว การควบคุมก็ยังตอบสนองดี ไม่รู้สึกฝืดหรือ “เชย” แต่อย่างใด แต่ถ้าอยากได้อารมณ์อาเขตแท้ ๆ การใช้ไฟต์สติ๊กก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
หนึ่งในฟีเจอร์ที่น่าสนใจสำหรับผู้เล่นหน้าใหม่คือ One-Button Specials ที่ให้คุณสามารถกดท่าไม้ตายได้ด้วยปุ่มเดียว เหมาะสำหรับคนที่ยังไม่ถนัดการกดคอมโบคลาสสิก แต่ควรทราบว่า ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะในโหมดเล่นปกติเท่านั้น หากเป็น Ranked Match ระบบนี้จะถูกปิดเพื่อรักษาความเท่าเทียมในการแข่งขัน

ฟีเจอร์เสริมที่เอาใจทั้งผู้เล่นใหม่และเก่า
Capcom แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเข้าใจความต้องการของผู้เล่นยุคนี้ ด้วยการใส่ฟีเจอร์คุณภาพชีวิต (QoL) ที่จำเป็นหลายอย่าง โดยเฉพาะ Training Mode ที่ในยุคอาเขตไม่มีให้ฝึกมาก่อน คราวนี้คุณสามารถฝึกฝนอย่างจริงจังก่อนลงสนามออนไลน์ได้อย่างเต็มที่
Training Mode นี้มีครบทุกอย่าง ทั้งการเลือกตัวฝึก, ตั้งค่าการเคลื่อนไหวของดัมมี่, ดูฮิตบ็อกซ์, ค่าความเสียหาย และแสดงอินพุต ช่วยให้ฝึกคอมโบและกลยุทธ์ได้ทั้งมือใหม่และมือเก๋าที่ต้องการพัฒนา
นอกจากนี้ยังมี Instruction Card และ Move List คล้าย ๆ กับแผ่นแปะบนเครื่องอาเขตในอดีต และยังมีฟีเจอร์โชว์ Marquee Card เวอร์ชันต้นฉบับระหว่างเล่นออฟไลน์ได้ตลอดเวลา
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ไม่ควรพลาดคือ Retro Filter ที่จะทำให้ภาพดูคล้ายจออาเขตเก่า ๆ แต่ถ้าคุณชอบภาพคมชัดก็สามารถปิดได้เช่นกัน

การเข้าถึงและความสะดวกสบายในการเล่นที่มากขึ้น
หนึ่งในสิ่งที่น่ายินดีคือ การตั้งค่าระดับความยาก ได้แล้ว ในอดีตผู้เล่นหลายคนไม่สามารถเล่นจนจบได้เพราะเกมยากเกินไป แต่คราวนี้คุณสามารถลดความยากเพื่อดื่มด่ำกับเรื่องราวและตัวละครได้อย่างสบายใจ ในขณะเดียวกัน ถ้าอยากได้ความท้าทายแบบคลาสสิกก็สามารถตั้งระดับ 8 แล้วไปฟัดกับ M. Bison แบบในอดีตได้เช่นกัน
ยังมีฟีเจอร์ Quick Save ที่ให้คุณเซฟก่อนเข้าสู่แต่ละด่าน ทำให้คุณหยุดเล่นเมื่อไรก็ได้แล้วกลับมาเล่นต่อได้ในภายหลังโดยไม่ต้องเริ่มใหม่ แต่น่าเสียดายที่ระบบนี้สามารถเซฟได้เพียงหนึ่งไฟล์เท่านั้นในคอลเลกชันทั้งหมด และสามารถเซฟได้แค่ก่อนด่านเริ่ม ไม่สามารถเซฟหลังจบแมตช์ได้
แม้ระบบนี้ยังมีข้อจำกัด แต่ก็ถือว่ามีประโยชน์มากสำหรับคนที่มีเวลาจำกัด

ของแถมสุดพิเศษ: ภาพเสริมและเพลงประกอบ
Capcom ยังใส่โหมด Gallery และ Sound Mode มาเอาใจแฟนเก่าอย่างแท้จริง
ใน Gallery คุณจะได้เห็นภาพร่างตัวละคร, เอกสารพัฒนาต่าง ๆ, โปสเตอร์โฆษณา ไปจนถึงการ์ดต้นฉบับที่ติดบนเครื่องเกม เรียกได้ว่าเหมือนพิพิธภัณฑ์ดิจิทัลที่รวบรวมประวัติศาสตร์ของเกมเหล่านี้เอาไว้
ใน Sound Mode คุณสามารถฟังเพลงประกอบทั้งหมดในคอลเลกชัน ไม่ว่าจะเป็นธีมของตัวละคร เพลงประกอบฉาก หรือเอฟเฟกต์เสียงสุดคลาสสิก ฟังแล้วได้อารมณ์ย้อนยุคสุด ๆ

ภาพกราฟิกที่ดีขึ้นในแบบคลาสสิก
แม้ Capcom จะไม่ได้ทำการรีมาสเตอร์แบบเต็มรูปแบบ แต่ภาพโดยรวมก็ดูดีขึ้นอย่างชัดเจน สไปรต์ตัวละคร, ฉากหลัง และเมนูอินเตอร์เฟซต่าง ๆ ถูกปรับให้ดูคมชัดขึ้นเหมาะกับหน้าจอสมัยใหม่ แอนิเมชันลื่นไหลขึ้นมาก แต่ยังคงเสน่ห์แบบเกมอาเขตดั้งเดิมไว้อย่างครบถ้วน

ฟีเจอร์ออนไลน์ครบครัน
แม้ยังไม่ได้มีโอกาสทดสอบโหมดออนไลน์อย่างละเอียด แต่ Capcom ได้เผยว่าจะมีโหมดออนไลน์ทั้งหมด 3 แบบคือ:
- Casual Match: สำหรับผู้เล่นที่อยากเล่นแบบชิล ๆ ไม่เน้นแรงก์
- Ranked Match: สำหรับสายแข่งขันที่อยากไต่แรงก์ ท่า One-Button จะถูกปิดในโหมดนี้
- Custom Match: เหมาะสำหรับเล่นกับเพื่อนหรือจัดทัวร์นาเมนต์ในกลุ่ม โดยเฉพาะ Power Stone 2 ที่สามารถเล่นได้สูงสุด 4 คน เหมาะกับปาร์ตี้หรือการแข่งสนุก ๆ
มีโหมดพิเศษ High Score Challenge ที่ให้ผู้เล่นแข่งกันทำคะแนนสูงสุดในเงื่อนไขเฉพาะ เพิ่มความหลากหลายให้กับเกมเพลย์
แต่ข้อเสียสำคัญของระบบออนไลน์นี้คือ ไม่มีระบบ Crossplay ทำให้คุณสามารถเล่นกับผู้ที่ใช้แพลตฟอร์มเดียวกันเท่านั้น

สรุป รีวิว Capcom Fighting Collection 2
Capcom Fighting Collection 2 ไม่ใช่แค่คอลเลกชันเกมเก่า แต่เป็น การแสดงความเคารพต่อประวัติศาสตร์เกมต่อสู้ของ Capcom อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเกมแข่งขันจริงจังอย่าง Capcom vs. SNK 2, Street Fighter Alpha 3 UPPER หรือเกมแนวปาร์ตี้สนุก ๆ อย่าง Power Stone 2 ทุกเกมถูกคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถันและใส่ใจรายละเอียด
ฟีเจอร์อย่าง Training Mode ขั้นสูง, One-Button Specials, ปรับระดับความยาก, Quick Save, และ แกลเลอรีประวัติศาสตร์ ทำให้เกมนี้ทั้งเข้าถึงง่ายสำหรับผู้เล่นใหม่ และอบอุ่นใจสำหรับแฟนเก่าที่โตมากับเกมเหล่านี้
แม้จะยังมีข้อเสียอย่างเช่น ไม่มีครอสเพลย์ และระบบเซฟที่จำกัด แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ เมื่อเทียบกับคุณภาพและความตั้งใจที่ Capcom มอบให้กับคอลเลกชันนี้
คะแนน 9/10
ข้อดี
- เกมยอดเยี่ยม รวมถึงเกมหายากอย่าง Capcom vs. SNK 2, Power Stone, และ Project Justice
- Training Mode ครบเครื่อง เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และผู้เล่นระดับโปร
- One-Button Specials ช่วยให้ผู้เล่นใหม่เข้าถึงเกมได้ง่ายขึ้น
- สามารถปรับระดับความยาก และมีคู่มือออฟไลน์ เช่น Marquee Card ให้ดูระหว่างเล่น
- โหมดออนไลน์หลากหลาย และรองรับรูปแบบการเล่นทั้งแบบสบาย ๆ และแข่งขันจริงจัง
ข้อเสีย
- ไม่รองรับ Crossplay ระหว่างแพลตฟอร์มต่าง ๆ
- บันทึกเซฟได้แค่ไฟล์เดียว สำหรับทั้งคอลเลกชัน ต้องเล่นจบเกมหนึ่งก่อนถึงจะเริ่มอีกเกมได้โดยไม่ทับไฟล์เดิม
Capcom Fighting Collection 2 มีกำหนดวางจำหน่ายวันที่ 16 พฤษภาคม 2025 บน PlayStation 4, Nintendo Switch และ PC (Steam) สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ทางการของ Capcom
Discussion about this post