ในปี 2004, Harvest Moon: A Wonderful Life ได้ลงในเครื่อง Nintendo Gamecube เป็นครั้งแรก ข้ามมาในปัจจุบันภาค remake ในชื่อ Story of Seasons: A Wonderful Life ที่จะลงในเครื่อง Nintendo Switch PC, PS5, และ Xbox Series มาดูกันภายในรีวิวนี้ว่าเกมเวอร์ชั่นใหม่เป็นอย่างไร
*ในบทความรีวิวนี้จะไม่ได้เน้นที่เกมเพลย์ทั่วไป แต่จะพูดถึงส่วนที่ทำให้เกมน่าสนใจโดดเด่นจากเกมทำฟาร์มอื่น
เนื้อเรื่องย่อ
ในภาคนี้เราจะได้เลือกเป็นตัวละครชาย หญิง หรือแม้กระทั่ง non-binary และสามารถดีไซน์หน้าตาตัวละครได้ โดยมีรูปแบบหน้า 4 แบบ สีผิว 5 แบบ ทรงผม 15 แบบ สีตา 12 สี และ ชุด 2 ชุด ซึ่งอันที่จริงไม่ค่อยแตกต่างกันมาก ส่วนมากเป็นสีที่เปลี่ยนไป แต่ตัวละครออกแบบมาได้ดึงดูดและน่ารักดี
เนื้อเรื่องของภาค A Wonderful Life เริ่มจากตัวเอกมารับช่วงต่อฟาร์มของพ่อใน Forgotten Valley ที่มีเพียง มหา วัว 1 ตัวและที่ว่างๆ โดยลุง Takakura จะรับบทผู้แนะนำระบบต่างๆ ให้แก่เรา
สำหรับใครไม่เคยเล่นเกมภาคเก่า ตัวเนื้อเรื่องของภาคนี้มีระบบที่น่าสนใจกับการที่ตัวเอกสามารถแก่ได้ ทำให้มีการแต่งงาน ลูกโตจนกระทั่งเราตาย นี่ทำให้ภาคนี้เป็นที่จดจำมากที่สุด (อาจจะมี bias จากผู้เขียนเพราะเล่นภาคนี้เป็นภาคแรกแตกต่างจากหลายๆ คน)
ภารกิจประจำวันของคนทำฟาร์ม
ในช่วงต้นเกมเราจะมีสิ่งให้ทำได้ไม่มากนะ นอกจากปลูกพืช ดูแลวัวหนึ่งตัว แล้วก็ไปทำความรู้จักกับเหล่าชาวบ้าน ซึ่งอันที่จริงรายละเอียดในภาคนี้แบบดั้งเดิมมันเยอะมากจนอาจจะถือว่ายากเลยทีเดียวกับคนที่ยังไม่เคยเล่นเกม Harvest Moon มาก่อน
สำหรับระบบต่างๆ หลายระบบก็ถูกนำมาจากภาคเก่าได้แก่
- ปลูกผลผลิตหลายชนิดได้แก่ ผัก ผลไม้ และไม้ยืนต้น และยังสามารถผสมพันธุ์เป็นพืชหายากได้
- เลี้ยงสัตว์เลี้ยงต่างๆ ได้แก่ เป็ด ไก่ ม้า แกะ แพะ และ วัว โดยวัวยังสามารถให้นมต่างชนิดกันตามสายพันธุ์ด้วย
- สามารถสร้างสิ่งก่อสร้างเพิ่มเติม เพื่อปลดล็อคสิ่งต่างๆ เช่น พื้นที่ทำฟาร์ม สร้างเมล็ดพันธุ์
- ตกปลา ขุดโบราณสถาน
และเหมือนเกม Harvest Moon ทั่วไปที่เราแทบไม่มีอะไรติดตัวมาเลย แต่ว่าอย่างน้อยในภาคนี้ก็มีวัวเริ่มต้นให้เราตั้งแต่แรกตัวนึง
ทักทายเพื่อนบ้าน
แน่นอนเกมทำฟาร์มส่วนมากจะมีระบบทำความรู้จักกับเพื่อนบ้าน รวมถึงระบบจีบตัวละคร ที่ทำให้เกมมีเรื่องให้ทำมากขึ้นนอกจากการทำฟาร์ม
ข้อดีของภาคนี้ตั้งแต่เวอร์ชั่นหลักคือความลึกของลักษณะนิสัยตัวละคร มีการกระทำที่พิเศษกว่าภาคอื่นๆ ทำให้เรารู้สึกผูกพันธ์กับคนในหมู่บ้านเพิ่มขึ้น
สำหรับในภาค remake ได้มีการเพิ่มระบบเควส ที่จะอยู่บนกระดานร้องขอ ซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ให้แก่ตัวละครหลักกับคนในหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มเนื้อเรื่องให้แก่ตัวละครแต่ละตัว ซึ่งบางตัวเนื้อเรื่องก็ทำออกมาได้ดีมาก
แต่สิ่งหนึ่งที่คิดว่าน่าจะเพิ่มเข้ามาในเวอร์ชั่น remake คือเสียงพากย์ ซึ่งเข้าใจว่าต้นฉบับยังไม่มีเสียงพากย์เข้ามา แต่ถ้าหาก remake มีเสียงพากย์น่าจะทำให้เราอินกับตัวละครได้มากขึ้น
ก่อร่างสร้างครอบครัว
ระบบจีบคนในภาคนี้คือจุดสำคัญมากๆ ของเนื้อเรื่อง เพราะคุณไม่สามารถชิลได้เนื่องจากเกมบังคับให้ภายในปีแรกคุณต้องหาคู่ครองไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ซึ่งระบบครอบครัวนี่แหละคือจุดเด่นเลย
นี่คือรายชื่อทั้งหมดที่เราสามารถจีบได้ (สำหรับชื่อในภาคเก่าจะอยู่ในวงเล็บ)
- Cecilia (Celia)
- Molly (Muffy)
- Nami
- Lumina
- Gustafa (Gustava)
- Rock
- Matthew (Marlin)
- Gordy (Cody)
อย่างที่บอกไปในช่วงต้นรีวิวว่าภาคนี้ เราจะเป็นตัวเอกที่มีการเปลี่ยนแปลงทางอายุแตกต่างจากภาคอื่น หมายความว่าลูกของเราก็จะโตขึ้นด้วย แล้วการที่เราทำสิ่งต่างๆ ให้ลูกเห็นก็จะเป็นการปลูกฝังเส้นทางที่ลูกเราจะเป็นเมื่อเติบโตขึ้น หรือแม้กระทั่งมีชาวบ้านสูงอายุเสียชีวิต ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกว่า เกมมันสมจริงนี่หว่า นอกจากการปลูกผักแล้ว ชีวิตเราก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ (เป็นอีกเหตุผลที่ผู้เขียนอวยภาค original มากๆ ตั้งแต่สมัยเด็ก)
ระบบเกมที่สร้างความสะดวก อาจจะทำให้เกมน่าเบื่อ
ถ้าเทียบกับ Story of Seasons: Friends of Mineral Town ตัวเกมออกแบบระบบการเล่นได้ยาก ต้องใช้คำว่ายากและไม่สะดวก ซึ่งอันที่จริงมันเป็นจุดอ่อนมาตั้งแต่ภาคต้นฉบับแล้ว เพราะต้องกด pause ไปเลือกของหยิบสิ่งที่เราอยากได้ทีละชิ้น ไม่มีคีย์ลัดช่วยให้สะดวกสบาย
ซึ่งถือว่าภาค remake ทำออกมาได้ดีขึ้น เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องกด pause อีกต่อไปแล้ว สามารถเข้าถึงไอเทม รวมถึงอุปกรณ์ได้เลย หรือแม้แต่ระบบการดูว่าตัวละครแต่ละตัวอยู่ตรงไหนในปัจจุบัน ก็ทำให้ลดความยุ่งยากในการจดจำหรือต้องเปิดหนังสือสูตรแบบสมัยก่อน อีกอย่างหนึ่งคือภาคนี้เวอร์ชั่นเก่า ถ้าคุณเอาวัวออกมากินหญ้า คุณต้องเข็นกลับเข้าไปทีละตัว ซึ่งบางทีเข็นมันทั้งวัน (ผู้เขียนยอมเสียเงินซื้อฟางเพื่อที่จะไม่ต้องเข็นวัว) แต่ภาคนี้มีปุ่มสั่นกระดิ่งที่สั่นปุ๊บวัวทั้งคอกก็ออกมาหรือกลับเข้าไปได้เลย
จากเหตุผลนี้ทำให้เกมภาคนี้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นต้นฉบับที่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเล่นโคตรยาก ไม่ว่าจะระบบเวลาเดินตลอดเวลา ระบบปลูกพืชผิดฤดู (แต่ร้านขายไม่เขียนบอก) หรืออื่นๆ อีกมากมาย
แต่กลับกันมันก็กลายเป็นข้อเสีย (หรืออาจจะเป็นอคติของผู้เขียน) เพราะมันดึงความรู้สึกจากภาคเก่าได้ไม่เต็มที่ จากความซับซ้อนที่เคยมีทำให้เกมมันดูง่ายเกินไป แล้วก็รู้สึกมีเรื่องให้ทำลดลง ซึ่งหลายคนอาจจะชอบมันก็ได้ เช่นตอนที่ผู้เขียนเด็กๆ หลายคนก็ไม่ชอบภาคนี้แตกต่างจากผู้เขียน
สรุป
ทั้งหมดนี้ภาค remake ของ A Wonderful Life ยังดึงเสน่ห์จากภาคเก่ามาได้อยู่ รวมทั้งยังเคารพระบบการเล่นหลายอย่างในภาคเก่าและเพิ่มสิ่งต่างๆ ทั้งกิจกรรม เควสมาให้น่าสนใจขึ้น พร้อมทั้งระบบการเล่นที่เอื้อต่อผู้เล่นใหม่
แต่ก็อย่างที่ผู้เขียนบอกไปข้างต้น ระบบการเล่นที่ง่ายก็ลดความสนุกและความยากที่มีอยู่ภายในเกม แต่ถ้าใส่ระบบที่เอความสะดวกสบายเข้ามาแล้ว แต่ไม่มีการพากย์เสียง ทำให้ผู้เล่นต้องอ่านข้อความไปด้วยซึ่งเกมภาคนี้ข้อความรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมากจึงอาจจะมึนหัวไปแทนได้ แต่ก็ถือเป็นการตัดความเสี่ยง เพราะหากงานพากย์ออกมาไม่ดี คงหงุดหงิดกันไปมากกว่านี้ ซึ่งเกมก็รู้ในจุดนี้และทดแทนด้วยสไตล์ตัวละครแบบจิบิ ที่ปกติไม่ต้องมีเสียงพูดก็ได้
ดังนั้น A Wonderful Life ภาค remake ถือว่าเป็นเกมทำฟาร์มที่ดีเกมหนึ่งซึ่งสามารถดึงผู้เล่นจากภาคอื่นที่ระบบการเล่นสะดวกสบายมากกว่าให้ได้มาสัมผัสกับเกมฟาร์มที่มีความเปลี่ยนแปลงของตัวละครได้อีกด้วย
ข้อดี
- มีระบบที่พัฒนาความสะดวกสบายมากมายจากเกมเวอร์ชั่นต้นฉบับ
- มีเนื้อหา และเควสภายในเกมเพิ่มเติม
- ระบบการเลี้ยงลูกพัฒนาขึ้นมากกว่าต้นฉบับ
ข้อเสีย
- ระบบอำนวยความสะดวกทำให้ความท้าทายในเกมลดลงสำหรับผู้เล่นที่ติดจากภาคต้นฉบับ
- ไม่มีเสียงพากย์ซึ่งอาจทำให้เกมดูเหงาไป
คะแนน
8/10 สำหรับผู้เล่นใหม่ที่ไม่เคยเล่นภาคต้นฉบับมาก่อน
6.5/10 สำหรับผู้ที่เคยเล่นเกมภาคต้นฉบับ
Story of Seasons: A Wonderful Life เตรียมวางจำหน่ายในวันที่ 27 มิถุนายนนี้บน Nintendo Switch, PlayStation 5, Xbox Series X|S และ PC
Discussion about this post