ชื่อเสียงของแฟรนไชส์ Shin Megami Tensei นั้นโดดเด่นมากกับองค์ประกอบเฉพาะของตัวเองหลายอย่าง โดยเฉพาะระบบต่อสู้แบบผลัดกันเล่นที่มีระดับความยากสุดโหด แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้า Atlus ลองเปลี่ยนแนวไปสู่เกม Action RPG แทน? คำตอบคือ การถือกำเนิดของซีรีส์ Raidou ในฐานะหนึ่งในภาคแยกของ Devil Summoner แม้ว่าแนวคิดจะถูกผลักดันอย่างเต็มที่ใน Devil Summoner 2: Raidou Kuzunoha vs. King Abaddon ก็ตาม แต่เกมแรกในซีรีส์นี้ก็ยังวางรากฐานที่น่าจับตามองไว้ได้ดี และนี่เองที่นำไปสู่การรีมาสเตอร์ซีรีส์นี้ในชื่อ RAIDOU Remastered: The Mystery of the Soulless Army
ทีมงานของเราได้รับเกมล่วงหน้าจาก Atlus เพื่อทดลองเล่นตลอดช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ในตอนแรกจะมีความกังวลเล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อมีการปรับเปลี่ยนหลายอย่างที่อาจทำลายจิตวิญญาณของต้นฉบับ แต่สุดท้ายแล้วเราก็ประทับใจกับคุณภาพโดยรวมของเกมไม่น้อยเลยทีเดียว ถ้าอยากรู้ว่าเกมนี้ดีแค่ไหน และมีส่วนใดที่ยังรู้สึกขาดอยู่บ้าง มาดูรีวิว RAIDOU Remastered ฉบับเต็มไปพร้อมกันเลย
อธิบายเนื้อเรื่องย่อๆ
Raidou Kuzunoha นั้นเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ “Devil Summoner” ซึ่งเป็นภาคแยกหลักครั้งแรกของ Shin Megami Tensei ก่อนจะมี Persona ตามมา ความแตกต่างจากเกมภาคหลักที่มักมีธีมหนักและฉากหลังเป็นโลกหลังวันสิ้นโลก ซีรีส์ Devil Summoner นั้นนำเสนอโลกที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากกว่า พร้อมเรื่องราวที่หมุนรอบตัวผู้ควบคุมปีศาจเป็นหลัก

แม้จะอยู่ในซีรีส์ Devil Summoner เช่นกัน แต่ Raidou กลับมีธีมที่แตกต่างชัดเจน โดยเฉพาะฉากหลังในยุคไทโชราวทศวรรษ 1930 และระบบการเล่นแบบ Action RPG แทนที่จะเป็นผลัดกันเล่น ทำให้ Raidou กลายเป็น “ข้อยกเว้น” แม้แต่ในซีรีส์ของตัวเอง แต่ก็เพราะเหตุนี้เองที่มันสามารถสร้างความประทับใจให้แฟน ๆ ได้อย่างลึกซึ้ง
การถือกำเนิดของซีรีส์นี้ยังทำให้ชื่อ “Raidou Kuzunoha XIV” ได้รับความสนใจอย่างมาก ซึ่งหลายคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นชื่อจริง แต่ความจริงแล้วเป็นเพียงตำแหน่งพิเศษที่มอบให้ผู้สมัครจากตระกูล Kuzunoha ที่สามารถผ่านการทดสอบสุดหินเพื่อเป็น Devil Summoner ได้ ตัวเอกของเราคือผู้สืบทอดรุ่นที่ 14 ของตระกูล ซึ่งได้รับหน้าที่ในการปกป้องเมืองหลวงจากปีศาจในเงามืด โดยยังต้องปิดบังตัวตนด้วยการเป็นนักสืบประจำสำนักงาน Narumi Detective Agency และนักเรียนไปพร้อมกัน ในระหว่างปฏิบัติภารกิจ Raidou จะต้องเผชิญกับแผนสมคบคิดขนาดใหญ่ที่เริ่มต้นจากคดีลักพาตัวเด็กสาวชื่อ Kaya Daidoji

เนื้อเรื่องใน Raidou ถูกนำเสนอในรูปแบบซีรีส์นักสืบ โดยแต่ละบทมีธีมเฉพาะของตัวเองแต่ก็จะนำผู้เล่นเข้าใกล้ความลับหลักของเรื่องมากขึ้นทีละนิด แม้ว่าแนวคิดจะน่าสนใจ แต่เรารู้สึกว่าเกมยังไม่มีความพยายามที่จะขยายความลึกให้กับตัวละครหรือโลกในเกมอย่างแท้จริง เรื่องราวถูกเล่าแบบเส้นตรงและกระชับที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้แต่ฉากเปลี่ยนผ่านจากการสอบผ่านจนเข้าสังกัด Narumi Detective Agency ก็ยังไม่มีให้เห็น ส่งผลให้การแนะนำตัวละคร Shohei Narumi นั้นไม่สามารถสร้างความผูกพันกับผู้เล่นได้เท่าที่ควร เพราะคุณถูกบังคับให้ “คุ้นเคย กับเขาโดยทันที
อย่างไรก็ตาม เราก็ยังสามารถชื่นชมการใส่เสียงพากย์เต็มรูปแบบ แม้กระทั่งตัวละคร NPC เพราะมันช่วยเสริมการเล่าเรื่องให้น่าสนใจและดึงดูดมากขึ้น มากกว่าจะทำให้คุณรู้สึกอยากกดข้ามบทสนทนาไปเฉย ๆ
ระบบต่อสู้ที่ได้รับการอัปเกรดแบบมหาศาล
เราคิดว่าคงถึงเวลาพูดถึงจุดนี้โดยตรง เพราะหนึ่งในข้อเสียสำคัญของเกม Raidou เวอร์ชันดั้งเดิมก็คือระบบการต่อสู้นั่นเอง ด้วยความที่ขาดความลึกซึ้ง โดยเฉพาะในสิ่งที่ Raidou สามารถทำได้ ทำให้ประสบการณ์การเล่นซ้ำซากและน่าเบื่อพอสมควร แม้ในแง่ระดับความยากจะยังเป็นมิตรกับผู้เล่นมากกว่า SMT ภาคอื่นก็ตาม เห็นได้ชัดว่าผู้พัฒนารับรู้ข้อเสียนี้เป็นอย่างดี เพราะสิ่งที่พวกเขานำมาในเวอร์ชันรีมาสเตอร์นี้เรียกได้ว่า “เหนือกว่า” อย่างแท้จริง
มองเผิน ๆ คุณอาจสังเกตเห็นความแตกต่างหลัก เช่น ความเร็วของระบบต่อสู้ที่เร็วขึ้น และแอนิเมชันการโจมตีที่ดูเท่ขึ้นอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ “กลไก” ที่ถูกเพิ่มเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นโหมดยิงปืนแบบแมนนวล ระบบล็อกเป้าหมายของศัตรู MAG Drain ที่ช่วยให้คุณสามารถฟื้น MP ได้อย่างยืดหยุ่นในระหว่างต่อสู้เพื่อรักษาจังหวะ ไปจนถึง Summoner Skills ที่เปิดให้ Raidou ใช้สกิลพิเศษหลากหลายธาตุ

ยังไม่หมดแค่นั้น Raidou ยังมีท่าไม้ตายใหม่ “Devil’s Bane” ที่สามารถใช้ได้เมื่อศัตรูอยู่ในสภาพอ่อนแอ รวมถึง “Spirit Slash” ซึ่งเป็นท่าสุดแกร่งที่มาพร้อมแอนิเมชันสุดอลังการ ทำให้ตอนนี้มีการเน้นย้ำชัดเจนในเรื่องความสนุกของการเล่นเป็น Raidou มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้คุณสามารถเลือกตั้งค่า Slot สกิลหลักในคอมแบตได้อิสระ แถมยังสามารถพาปีศาจออกมาช่วยต่อสู้พร้อมกันได้ถึง 2 ตัว (จากเดิมที่จำกัดไว้แค่ตัวเดียว)

การเพิ่มมุมกล้องอิสระในระหว่างการต่อสู้ก็สร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนอย่างมาก เพราะตอนนี้คุณสามารถมองเห็นพื้นที่โดยรอบได้กว้างขึ้น ขยับหลบศัตรูหรือเลือกเป้าหมายได้อิสระมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้เรากล้าพูดเลยว่า “ระบบต่อสู้ในเกมภาคนี้เหนือกว่าภาคต่ออย่าง King Abaddon เสียอีก”

ระหว่างโลกแห่งความจริงและดินแดนแห่งความมืด
ลำดับกิจกรรมในเกมนี้จะแบ่งระหว่างการล่าปีศาจใน “ดินแดนแห่งความมืด (Dark Realm)” และการสืบสวนคดีในโลกแห่งความจริง โดยการล่าปีศาจนั้น คุณสามารถเข้าถึงดินแดนแห่งความมืดผ่านศาลเจ้าที่ไม่มีชื่อ (Nameless Shrine) ซึ่งมี ยาตาการาสุ (Yatagarasu) เป็นผู้เฝ้า และจะทำพิธีกรรมเพื่อเปิดทางให้คุณเข้าไปได้
ดินแดนแห่งความมืดเปรียบเสมือนโลกอีกด้านหนึ่งของเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยปีศาจ ซึ่งหากไม่สามารถควบคุมพวกมันได้ พวกมันก็จะหนีหลุดเข้าสู่โลกแห่งความจริง คุณสามารถมองว่ามันคือดันเจี้ยนสำหรับใช้ฟาร์มหรือดำเนินเนื้อเรื่องในบางช่วงสำคัญของเกม

การเข้า Dark Realm ยังสามารถทำได้ผ่านพอร์ทัลที่เรียกว่า Aril Rift ซึ่งคุณจะเจอได้ตามจุดต่าง ๆ ทั่วเมืองหลวง โดยไม่จำเป็นต้องสำรวจพื้นที่ก่อนแต่อย่างใด เพียงแค่ต่อสู้กับกลุ่มปีศาจที่อยู่ในนั้นให้จบ นี่เป็นทางเลือกแบบรวดเร็วสำหรับการฟาร์มหรือหาปีศาจใหม่ ๆ หากคุณไม่อยากลงดันเจี้ยนยาว ๆ รางวัล EXP และเงินที่ได้จากการเคลียร์ Aril Rift แต่ละครั้งนั้นสูงกว่าการต่อสู้ปกติหลายเท่า นอกจากนี้ยาตาการาสุยังจะให้ของรางวัลพิเศษตามจำนวน Aril Rift ที่คุณเคลียร์สำเร็จอีกด้วย
นอกจากนี้ บางเควสต์เสริมก็จะกำหนดให้คุณต้องเคลียร์ Aril Rift ด้วย ดังนั้นสิ่งนี้จึงถือเป็นคอนเทนต์เสริมที่สำคัญ โดยเฉพาะสำหรับผู้เล่นสายฟาร์มตัวจริง

ในขณะเดียวกัน การสืบสวนในโลกแห่งความจริงนั้นกลับไม่มีอะไรให้คุณทำมากนักนอกจากเดินตามเควสหลัก แม้ว่าเกมจะชูธีมนักสืบอย่างชัดเจน เราก็ยังรู้สึกผิดหวังกับการนำเสนอ โดยเฉพาะในด้านระบบเกม เพราะแม้คุณจะสามารถใช้ปีศาจคู่หูในการช่วยสืบคดี เช่น อ่านใจ หรือแอบเข้าไปในที่ต่าง ๆ โดยไม่ให้ใครเห็น ฟังดูเหมือนเท่ แต่มันไม่มีการให้คุณใช้ “ตรรกะ” หรือต้องคิดวิเคราะห์ใด ๆ เลยในการดำเนินเรื่อง
ตราบใดที่คุณมีปีศาจที่มีสกิลเหมาะสมต่อสถานการณ์ ก็แทบไม่ต้องคิดอะไรเพิ่มเติม ทำให้ภารกิจหลักโดยเฉพาะส่วนสืบสวนนั้นดูจืดชืดไปหมด ไม่มีความรู้สึกว่าต้องตัดสินใจ ไม่มีความรู้สึกถึงความท้าทายในการคิดแบบเกมนักสืบ แม้แต่เนื้อเรื่องเองก็ง่ายต่อการคาดเดา แทบไม่มีพื้นที่ให้ผู้เล่นวิเคราะห์หรือคิดลึกมากนัก เราคิดว่าธีมนักสืบนั้นเป็นจุดขายที่ทำให้ Raidou แตกต่างจาก SMT ภาคอื่นอย่างชัดเจน แต่ในด้านเกมเพลย์แล้ว กลับกลายเป็นส่วนที่อ่อนที่สุด

การอัญเชิญปีศาจ
การสะสมปีศาจและทำให้พวกมันกลายเป็นคู่หูในการต่อสู้นั้นถือเป็นหัวใจสำคัญของ Shin Megami Tensei และใน Raidou ก็เช่นกัน ซึ่งเวอร์ชัน Remastered นี้ก็นำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เข้ามา ไม่ใช่แค่จำนวนปีศาจที่เพิ่มขึ้นจาก 70 เป็นมากกว่า 120 ตัว แต่ยังมีระบบใหม่ที่ถูกเสริมเข้ามาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น Demon Fusion ที่ขยายขึ้น, Passive Skills, Premium Devil Chart ที่เปิดให้จดทะเบียนปีศาจประเภทเดียวกันหลายตัว ไปจนถึงระบบที่ทำให้ปีศาจที่ไม่ได้ลงสนามต่อสู้ก็ยังได้รับ EXP ด้วย

การมีปีศาจเพิ่มขึ้นในปาร์ตี้นั้นเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้อย่างชัดเจน เพราะมันเปิดโอกาสให้คุณเข้าถึงธาตุหลากหลายมากขึ้นเพื่อเจาะจุดอ่อนของศัตรู แม้ว่าจะไม่มีปีศาจที่ตรงกับธาตุของศัตรู พวกมันก็ยังมีบทบาทสำคัญในการล่อความสนใจของศัตรูให้ห่างจาก Raidou หรือใช้เพื่อซัพพอร์ต AI ของปีศาจในเกมนี้ก็ถือว่าดีมาก เพราะมันจะตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ทันที ไม่ว่าจะโจมตีธาตุที่ตรงกับจุดอ่อนของศัตรู หรือฟื้น HP ให้คุณ ทุกจังหวะดูเหมาะสมไปหมด จนคุณรู้สึกได้ชัดเจนว่าพวกมันคือ ทรัพย์สิน ที่มีค่ามากในการต่อสู้ และถ้าขาดพวกมัน Raidou เองก็จะลำบากไม่น้อย
ระบบ Demon Fusion ยังมีอยู่ตามเดิม และสามารถเข้าถึงได้ที่ Goumaden โดยใช้บริการของ Dr. Victor เพื่อหลอมปีศาจในปาร์ตี้ให้กลายเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งกว่าเดิม เรารู้สึกว่าการเข้าถึงระบบล่าปีศาจและพัฒนาพวกมันในภาคนี้ง่ายกว่ามาก ทำให้คุณสามารถแวะไปที่ Goumaden ได้บ่อย ๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์ที่ถูกขยายเหล่านี้ ไม่ใช่แค่กับปีศาจเท่านั้น ยังมีระบบใหม่ที่เรียกว่า Sword Alchemy ซึ่งเป็นระบบอัปเกรดอาวุธของ Raidou และปลดล็อก Summoner Skills ใหม่ ๆ อีกด้วย

ปรับภาพใหม่ทั้งหมด พร้อมฟีเจอร์ QoL
นอกจากการยกเครื่องในหลายด้านที่กล่าวมาแล้ว เกมนี้ยังได้รับการ “ขัดเงา” ให้เข้ากับยุคสมัยแทบทุกจุด ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ภาพกราฟิก เพราะไม่ใช่แค่โมเดล 3 มิติของตัวละครเท่านั้น แต่รวมถึง ฉากคัทซีนแบบ CG, การออกแบบแผนที่, และ UI ทั้งหมด ที่ถูกปรับปรุงใหม่อย่างชัดเจน
การผสมผสานนี้ทำให้เกมรู้สึกสดใหม่ ในขณะเดียวกันก็ยังรักษา กลิ่นอายของ Raidou เวอร์ชันต้นฉบับไว้ได้เป็นอย่างดี จุดนี้น่าจะเป็นผลมาจากแนวทางของผู้พัฒนาที่ตั้งใจไม่ให้การยกเครื่องภาพดู มากเกินไป และยังคงโครงสร้างเดิมไว้ในหลายจุด
ยกตัวอย่างเช่น โมเดล 3D ของตัวละคร แม้ว่าคุณภาพโดยรวมจะยังคงใกล้เคียงของเดิม แต่ก็มีการขัดเงาในจุดสำคัญ เช่น พื้นผิวและรายละเอียดของดีไซน์ โดยจุดที่เปลี่ยนชัดที่สุดคงเป็น แผนที่ของเมือง เพราะในเกมต้นฉบับนั้นยังคงใช้เทคนิค pre-rendered (ภาพฉากหลังแบบวาดไว้ล่วงหน้า) แต่ในเวอร์ชันนี้คุณสามารถเดินสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ ในเมืองหลวงได้ในรูปแบบ สามมิติเต็มรูปแบบ

UI หรือหน้าตาเมนู ก็ได้รับการปรับดีไซน์ให้ “ทันสมัย” มากขึ้นในสไตล์ของ Atlus โดยยังคงโครงสร้างเดิมไว้ แต่เพิ่มเติม “ลูกเล่น” การออกแบบในบางส่วน ทำให้ดูสวยงามขึ้นโดยไม่รู้สึกรกรุงรังเกินไป
ในส่วนของ Quality of Life (QoL) หรือฟีเจอร์อำนวยความสะดวก มีการใส่มาเยอะมากจนแทบจะไล่ไม่หมด แต่ที่เราคิดว่ามีผลอย่างมากต่อประสบการณ์การเล่น ได้แก่:
- ฟังก์ชัน Quicksave และ Autosave แบบยืดหยุ่น ป้องกันปัญหาลืมเซฟก่อนเกมโอเวอร์
- Mini Map และระบบ Objective ช่วยนำทาง ทำให้ไม่หลงทางง่าย
- Express Streetcars สำหรับ Fast Travel ไปยังพื้นที่ที่เคยไปแล้วได้ทันที
- และที่น่าชื่นชมคือ โหมดความยาก “Sleuth” ที่ไม่มี Game Over เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เล่นหน้าใหม่หรือผู้ที่ต้องการเน้นเนื้อเรื่องสามารถสนุกได้อย่างไม่ต้องเครียด

สรุป รีวิว RAIDOU Remastered
จากความคาดหวังในตอนแรกที่หลายคนอาจมองว่าเกมนี้จะเป็นแค่ “Remaster” ธรรมดาแบบเดียวกับ Shin Megami Tensei III Nocturne, สิ่งที่ Atlus ทำกับ RAIDOU Remastered: The Mystery of the Soulless Army กลับกลายเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมาย
นี่ไม่ใช่แค่เกมที่ยกเครื่องกราฟิก ปรับเฟรมเรต และใส่ฟีเจอร์ QoL เท่านั้น แต่พวกเขาเหมือนตั้งใจจะ Remake ระบบสำคัญ ๆ โดยเฉพาะระบบต่อสู้ที่เป็นจุดอ่อนของเวอร์ชันดั้งเดิม ให้กลายเป็นระบบที่สนุก ทันสมัย และสมบูรณ์ขึ้นในทุกมิติ เป็นการตัดสินใจที่ควรได้รับคำชื่นชม และสะท้อนถึงความตั้งใจของ Atlus ที่อยากจะสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับซีรีส์ Raidou อย่างจริงจัง
แม้ว่าสไตล์ภาพและองค์ประกอบบางอย่างของเกมอาจจะยังรู้สึก “เก่า” สำหรับผู้เล่นยุคใหม่ แต่เรามั่นใจว่าเกมนี้คือจุดเริ่มต้นที่เหมาะสมสำหรับแฟน Atlus ที่อยากสัมผัส เกมแอคชั่น RPG ในจักรวาล SMT โดยไม่ต้องไปเล่นซีรีส์แยกอย่าง Persona 5 Strikers
ใครจะไปรู้ ถ้าเกมนี้ประสบความสำเร็จ พวกเขาอาจรีมาสเตอร์ King Abaddon ต่อ และในที่สุดก็อาจมีโอกาสได้เห็น Raidou ภาค 3 ที่แฟนรุ่นเก่ายังคงเฝ้ารอจนถึงทุกวันนี้

RAIDOU Remastered: The Mystery of the Soulless Army มีกำหนดวางจำหน่ายวันที่ 19 มิถุนายนนี้ บน PlayStation 4, PlayStation 5, Xbox Series, Nintendo Switch และ PC สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ทางการของเกม
อย่าลืมติดตาม Gamer555 เพื่อไม่พลาดข่าวสารเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
Discussion about this post