มีเกมน่าสนใจหลายเกมที่จะวางจำหน่ายในปี 2024 หนึ่งในนั้นคือ Dragon Age: The Veilguard ด้วยความที่แฟรนไชส์นี้มีการห่างหายกันไปนานเป็นทศวรรษ ทำให้ BioWare ตัดสินใจปรับปรุงตัวเกมไปในอีกแนวทางที่ต่างออกไปจากเดิม ซึ่งทางเราได้ลองเล่น Dragon Age: The Veilguard ก่อนในเซสชั่นตัวอย่างที่จัดโดย Electronic Arts และ BioWare เกมนี้จะมีศักยภาพที่จะเป็นเกมที่ยังคงแข็งแกร่งเหมือนภาคก่อนๆ หรือไม่ ไปดูกันได้ใน บทความ คุยหลังเล่น พรีวิว Dragon Age: The Veilguard
มุมมองของโลก
ซีรีส์ Dragon Age (Origins, Dragon Age 2, Inquisition) เป็นเกม RPG แบบปาร์ตี้ และภาคสุดท้าย Inquisition ได้รับการปล่อยออกมาเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว แต่ละภาคเป็นภาคต่อโดยตรงของภาคก่อนหน้า และ Dragon Age: The Veilguard ก็ยังคงเป็นแบบนั้นอยู่
เสน่ห์ของเกม Dragon Age อยู่ที่การเชื่อมต่อของตัวละครที่ผู้เล่นสร้างขึ้นกับเพื่อนร่วมทีม การสำรวจ และการค้นหาตำนานและประวัติศาสตร์ของโลก เกมเมอร์จะยังคงได้รับภารกิจและเรื่องราวเสริม การตัดสินใจทุกอย่างจะมีผลกระทบ สิ่งนี้ทั้งหมดมีอยู่ใน Dragon Age: The Veilguard
การเลือกบทสนทนาหลายอย่างที่คุณทำจะมีผลกระทบ โดยพื้นฐานแล้ววิธีการกระทำของผู้เล่นจะมีข้อเสนอแนะจากเพื่อนร่วมทีมช่วยในการตัดสินใจอีกต่อหนึ่ง ซึ่งใน Dragon Age ภาคก่อนหน้านี้ การที่เราเลือกตอบคำตอบที่สมาชิกในทีมไม่ชอบมากเกินไปจะทำให้ตัวละครเหล่านั้นทนไม่ไหวออกจากปาร์ตี้ไปเลย ดังนั้นการเลือกคำตอบที่จะมีคนบางคนในทีมชอบ บางคนไม่ชอบก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งท้าทายในการเล่นเช่นกัน
การสร้างตัวละคร
เอกลักษณ์ของ Dragon Age: The Veilguard เฉกเช่นเดียวกับเกมภาคอื่นๆ ผู้เล่นจะได้สร้างตัวละครเองอย่างอิสระ โดยในภาคนี้มี 4 เผ่าพันธุ์ให้เลือกได้แก่ Elves, Qunari, Humans & Dwarves สามารถปรับแต่งรูปร่างลักษณะใบหน้า และสำหรับ Qunari ปรับขนาดเขาได้ รวมถึงวัสดุที่ประกอบเป็นเขาอีกด้วย
สิ่งที่เราได้สัมผัสระหว่างการสร้างตัวละคร ก็คือการออกฟิสิกสของส่วนผมที่พริ้วไหวสมจริง แต่ก็มีข้อเสียที่การแสดงอารมณ์นั้นทำได้ด้อยกว่าตัวละครที่มีอยู่แล้วในเกม ซึ่งเป็นข้อจำกัดของการปรับเปลี่ยนหน้าตาที่แตกต่างไปในแต่ละผู้เล่น
อาชีพที่เล่นได้
ใน Dragon Age: The Veilguard ผู้เล่นสามารถเลือกคลาสที่มีอยู่ได้อย่างน้อยสามคลาส Rogue, Warrior และ Mage โดยมีเลเวลสูงสุดอยู่ที่ 50 ซึ่งสูงกว่าเกมก่อนหน้ามาก และไม่เหมือนกับเกมภาคก่อนๆ เราไม่สามารถลองความสามารถที่หลากหลายจากคลาสอื่นที่เราไม่ได้เลือก เนื่องจากเราไม่สามารถควบคุมเพื่อนร่วมทีมได้ นอกจากตัวละครหลักที่สร้างเอง (Sad ถ้าอยากเล่นคลาสอื่นต้องปั้นใหม่อย่างเดียวเลย)
Rogue
คลาส Rogue ไม่สามารถสลับอาวุธได้ โดยอาวุธหลักระยะไกลจะใช้ธนู และการเล็งจุดอ่อนก็มีผลจริงๆ แล้ว ทำให้เกมเพลย์ฝั่งแอคชั่นสำคัญมากขึ้น นอกจากนี้จุดเด่นอื่นๆ ของคลาสยังอยู่ครบทั้งการโ๗มตีต่อเนื่อง การหลบหลีกที่รวดเร็ว การขโมยของหาทรัพยากร แต่จุดเด่นเหล่านี้แลกมาด้วยความบอบบางในด้านการป้องกันเมื่อถูกโจมตีโดนโดยเฉพาะฝั่งกายภาพ
Warrior
Warriors เป็นคลาสที่สลับอาวุธได้ มีตัวเลือกมากมายตามสไตล์การเล่น เช่น ดาบเล็ก 1 เล่มพร้อมโล่ หรือดาบใหญ่ 1 เล่ม ทั้งหมดมีข้อดีของตัวเองด้วยความเสียหายที่มากขึ้นหรือมีทักษะการป้องกันเพิ่มเติมตามอาวุธที่ถือ
ในบรรดาคลาสทั้งหมด Warrior เป็นคลาสที่ทนทานที่สุด และสามารถรับความเสียหายได้มากในขณะที่ทำความเสียหายได้มากในเวลาเดียวกัน และถ้าคิดว่าที่พูดมาดูโกงแล้ว Warrior ยังมีการโจมตีระยะไกลโดยการปาโล่อีกด้วย ดูจะเป็ฯอาชีพสุดจะเล่นง่ายเลยล่ะ
Mage
ในเซสชั่นตัวอย่างนี้ Mage อาจเป็นคลาสที่เล่นยากที่สุด Mage สามารถใช้ไม้เท้าหรือลูกแก้วพร้อมกับมีด ไม้เท้ามีการโจมตีระยะไกล ในขณะที่ลูกแก้วมีการโจมตีระยะกลาง อาวุธทั้งสองนี้ค่อนข้างช้า และเวทย์กว่าจะบินถึงศัตรูก็ช้าอีกด้วย
คาถาที่มีพลังทั้งหมดใช้มานา ซึ่งตอนเริ่มเกมจะมีปัญหาอย่างมาก แต่เมื่อเมจไปถึงช่วงท้ายเกมจะถือเป็นอีกหนึ่งคลาสที่แข็งแกร่งอย่างมาก แลกมากับการป้องกันสุดห่วยแตก ดังนั้นนี่คือคลาสที่เล่นยากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ (แต่ผู้เขียนก็อวยอยู่ดีเพราะชอบเล่นจอมเวทย์)
การเปลี่ยนแปลงระบบการต่อสู้
Dragon Age: The Veilguard จะมีความเป็นเกมแอคชั่น มากกว่าเกมแบบเทิร์นเบสเหมือนภาคก่อนๆ แต่ว่ายังมีระบบหยุดชั่วคราวและสั่งการให้ปาร์ตี้ได้ แต่โดยรวมแล้วการต่อสู้มีความเร็วและน่าสนใจมากขึ้น ผู้เล่นสามารถหลบ หลีกเลี่ยง ป้องกัน หรือกระโดดได้อย่างราบรื่น
มีดีบัฟมากมายในเกมที่สามารถใช้เป็นคอมโบกับตัวเราเองหรือเพื่อนในปาร์ตี้ ซึ่งโดยรวมแล้ว การต่อสู้ในภาคนี้เร็วกว่ามากและคล้ายกับเกมแอคชั่น มากกว่าเกม RPG แบบดั้งเดิมที่เราเคยรู้จักในเกม Dragon Age ก่อนหน้านี้ สำหรับแฟนๆ นี่จะเป็นข้อถกเถียงสำคัญอย่างมาก ซึ่งใครที่ชอบฝั่งแอคชั่นหน่อยๆ อาจจะชอบกับมัน แต่ส่วนตัวผู้เขียนยัง 50/50 กับแนวทางที่ BioWare เลือกนี้ (แน่นอนผู้เขียนอวยเกม Turn Base)
สรุป พรีวิว Dragon Age: The Veilguard
ตามสไตล์ Dragon Age เกมมีความซับซ้อนมากต้องใช้เวลาลองเล่นพอสมควร และน่าเสียดายที่เราไม่มีเวลาเพียงพอในการเซสชั่นตัวอย่าง แต่เท่าที่สัมผัสมาในความยืดหยุ่นอิสระในการปรับแต่งอุปกรณ เกียร์แต่ละชิ้นมีรายละเอียดเกี่ยวกับสถิติและแอฟฟิกซ์ นอกจากนี้ ร่วมกับการเลือกพรสวรรค์และเลือกเพื่อนที่มีส่วนร่วม เราจะสนุกกับการสำรวจและรู้สึกทรงพลังมากระหว่างการต่อสู้หากการรวมกันของเกียร์และเพื่อนร่วมทีมถูกต้อง ซึ่งยังคงเป็นสไตล์ RPG แบบดั้งเดิม
สำหรับแฟนๆ Dragon Age ผู้เล่นจะได้สัมผัสพื้นที่อื่น ๆ ที่ไม่มีในเกมภาคก่อนหน้า เช่น Tervinter นอกจากนี้ ยังมีเหล่าตัวละครเก่าๆ ที่กลับมาให้หายคิดถึง เช่น Varric, Solas และ Morrigan
โดยรวมเซสชั่นตัวอย่าง ได้บอกเล่าเรื่องราวทำได้ค่อนข้างดี การพบปะครั้งแรกกับเพื่อนร่วมทีมที่อาจเกิดขึ้นทำให้เกิดความประทับใจทดูสมจริงกว่าเกมก่อนหน้า มีตัวละครหลายตัวที่น่าจะเป็ฯที่ชื่นชอบของแฟนเกม แต่อย่างที่บอกไปการตัดสินใจเปลี่ยนเกมเป็นแอคชั่นมากขึ้น ต้องดูผลตอบรับโดยรวมอีกครั้ง
Dragon Age: The Veilguard จะวางจำหน่ายในวันที่ 31 ตุลาคม 2024 สำหรับ PlayStation 5, Xbox Series และ PC ผ่าน Steam และ Epic Games Store สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่เว็บไซตทางการ
อย่าลืมติดตาม Gamer555 เพื่อไม่พลาดข่าวสารเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
Discussion about this post