Elden Ring Nightreign ได้หยิบสูตรความสำเร็จของซีรีส์ Souls มาปรับเปลี่ยนจนกลายเป็นสิ่งที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เกมแนว Roguelike แบบเล่น Co-op ที่ทั้งตื่นเต้นและน่าหงุดหงิดในเวลาเดียวกัน
ใน รีวิว Elden Ring Nightreign นี้ เราจะพาคุณลงลึกไปสำรวจว่าอะไรที่ทำให้ Nightreign พิเศษ ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของมัน และสิ่งที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจว่าภาคแยกสุดทะเยอทะยานนี้ “คุ้มค่าที่จะเล่นหรือไม่”
นี่ไม่ใช่การผจญภัยแบบ Elden Ring ปกติที่คุณจะสามารถสำรวจโลกได้ตามใจชอบ แต่มันคือการแข่งกับเวลา ที่ทุกการตัดสินใจมีความหมาย ทุกเพื่อนร่วมทีมสำคัญ และความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้ทุกอย่างพังทลาย
ระบบการเล่นหลัก
สิ่งที่ทำให้ Nightreign แตกต่างจากเกม Souls ภาคอื่นคือ ความสำคัญของ กลยุทธ์ และ การประสานงานเป็นทีม ตั้งแต่เริ่มเกม ผู้เล่นต้องร่วมกันวางแผนเส้นทาง ตัดสินใจว่าเขตไหนควรถูกสำรวจก่อน และคิดหาวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเก็บเลเวล
ในเกมมีจุดหลักๆ ให้สำรวจ เช่น โบสถ์มาริกา (Church of Marika), ป้อมปราการ (Fort), โบสถ์ใหญ่ (Great Church), หอเวท (Sorcerer’s Rise), ค่ายหลัก (Main Encampment), คุก (Gaol), และ ปราสาทขนาดใหญ่ใจกลางแผนที่

เกมแบ่งออกเป็นหลาย “เฟส” โดยแต่ละคืนจะมีเป้าหมายและลำดับความสำคัญต่างกัน
- คืนแรก เป้าหมายหลักคือเดินทางไปให้ถึง โบสถ์มาริกา และให้ตัวละครขึ้นเลเวลถึงประมาณ 8 หรือ 9 เพื่อเตรียมรับมือกับศัตรูที่ยากขึ้น
- เริ่มจาก ค่ายเล็กๆ ใกล้จุดเริ่มต้นเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัย ได้ทรัพยากรไว และสามารถเก็บเลเวล 2 ได้โดยไม่เสี่ยงมาก
- จากนั้นจึงค่อยเคลื่อนไปยังพื้นที่ใหญ่ขึ้น เช่น Fort หรือ Main Encampment เพื่อหาไอเทมดีๆ

ในคืนที่สอง ผู้เล่นต้องหาศาสตราที่มี “ธาตุ” เฉพาะเพื่อต่อสู้กับ บอส Nightlord ที่จะปรากฏขึ้น เกมจะโชว์ไอคอนเล็กๆ บนแผนที่ว่าแต่ละพื้นที่มีธาตุอะไรบ้าง แต่การวางแผนล่วงหน้าและประสบการณ์ก็ยังจำเป็น
การล้ม Field Boss ก็มีความสำคัญ เพราะพวกมันจะดรอปอาวุธที่ดีขึ้นและสามารถอัปเกรดอาวุธปัจจุบันของคุณได้
การต่อสู้และระบบ Progression
หากคุณคิดว่า Nightreign จะเล่นเหมือน Elden Ring เดิมๆ — บอกได้เลยว่า คุณจะต้องตกใจแน่นอน ถึงแม้ระบบพื้นฐานจะยังคงคล้ายเดิม แต่เกมได้เพิ่มลูกเล่นใหม่ๆ ที่สามารถเซอร์ไพรส์แม้แต่ผู้เล่นมือเก่า ศัตรูในนี้โหดมากแม้จะเป็นตัวกีกี้ แถมตายแล้วยังเสียเลเวลกลับบ่อไปที่รูน

ที่ท้าทายยิ่งกว่าคือ Nightreign นำบอสจากทุกภาคในซีรีส์ Souls มาไว้ในเกม เช่น Gaping Dragon จาก Dark Souls 1, Smelter Demon จาก Dark Souls 2, รวมถึง Fell Omen และ Draconic Tree Sentinel จาก Elden Ring เอง
และที่แสบคือ บอสเหล่านี้ถูกปรับให้ยากกว่าเดิม พวกมันมีแพทเทิร์นการโจมตีใหม่ คอมโบยาวขึ้น และตอบสนองเร็วกว่าเดิม บอสอย่าง Godskin Duo ยังมีท่าใหม่ที่ทำให้การต่อสู้เข้มข้นกว่าเดิม ทำให้คุณไม่สามารถใช้กลยุทธ์เดิมๆ ได้อีกต่อไป

ในด้านระบบฝั่ง Progression ตัวเกมมีระบบพัฒนาแบบถาวรผ่าน Relic ซึ่งให้โบนัสแบบพาสซีฟและอัปเกรดถาวร แต่ Relic ที่ดีที่สุดจะ ผูกกับคลาสเฉพาะ และต้องปลดล็อกผ่านเควสต์ย่อยของคลาสนั้น
วิธีปลดล็อกคือเริ่ม “Remembrance” ซึ่งอาจจะต้องสำรวจพื้นที่หนึ่ง หรือปราบบอสที่กำหนดให้ได้สำเร็จ หากทำได้ จะได้ Relic ของคลาสนั้นที่จะช่วยให้คลาสนั้นเล่นได้เก่งขึ้นมากในรอบต่อไป
นอกจากนี้ยังมี สกินตกแต่ง สำหรับตัวละคร ซึ่งไม่มีผลต่อการเล่นแต่ช่วยให้คุณแสดงความก้าวหน้าและปรับแต่งรูปลักษณ์
การเล่นแบบ Multiplayer ที่ฟังแล้วดูดี แต่เล่นจริงแล้วเหนื่อย
แม้เกมจะถูกออกแบบมาเพื่อ Co-op โดยเฉพาะ แต่ ระบบมัลติเพลเยอร์กลับกลายเป็นจุดอ่อน ที่น่าผิดหวัง เกมยังใช้การเชื่อมต่อแบบ Peer-to-peer แทนเซิร์ฟเวอร์เฉพาะ ทำให้เกิดปัญหามากมาย เช่น บอสค้างบนจอของผู้เล่นคนหนึ่ง แต่ไม่ค้างบนหน้าจอของอีกคน ยิ่งพอเกมที่ทุกจังหวะตัดสินความเป็นความตาย ี่ทุกการเคลื่อนไหวต้องแม่นยำและทำงานเป็นทีม ปัญหาเหล่านี้ยิ่งน่าหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก

ระบบจับคู่ก็แย่เช่นกัน บางครั้งใช้เวลาเพียง 30 วินาที แต่บางครั้งต้องรอถึง 4–5 นาที และอาจได้แค่ 2 คนแล้วติดค้าง ไม่สามารถหาคนที่สามได้ ต้องยกเลิกแล้วเริ่มใหม่
ที่เลวร้ายที่สุดคือ ไม่มีระบบสื่อสารที่เหมาะสม ไม่มีเสียง ไม่มีคำสั่งพื้นฐาน แม้แต่ระบบ “ปิง” ก็จำกัดมาก แค่กดจุด แต่ไม่สามารถระบุคำสั่งว่าให้ทำอะไรที่จุดนั้น การเล่นกับคนแปลกหน้ากลายเป็นเกมเดาใจที่ต้องกระโดดหรือหมุนตัวเพื่อสื่อสารเอา
Learning Curve ที่สูงปรี๊ด
เกมนี้ ไม่มีการสอนหรืออธิบายระบบใดๆ ภายในเกม ทำให้มือใหม่ต้องไปหาไกด์จากชุมชน หรือดูวิดีโอสอนเอาเอง แม้แต่ผู้เล่นที่ช่ำชองใน Elden Ring ก็อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 50 ชั่วโมง เพื่อเข้าใจกลไกต่างๆ และรูปแบบของเกม
เมื่อความกดดันของเวลา ระบบ Roguelike และบอสที่เปลี่ยนแพทเทิร์นเรื่อยๆ ทำให้เป็นประสบการณ์ที่ต้องใช้ความอดทนและการฝึกฝนสูงมากจนบางคนน่าจะท้อไปเลย

สรุป รีวิว Elden Ring Nightreign
Elden Ring Nightreign คือการทดลองที่ทะเยอทะยาน ซึ่งสำเร็จในหลายด้านแต่ก็ล้มเหลวในบางจุด เมื่อทุกอย่างทำงานอย่างถูกต้อง ทีมเวิร์กดี การเชื่อมต่อราบรื่น และการวางแผนกลยุทธ์เข้าที่ เกมนี้สามารถมอบ ประสบการณ์ที่เข้มข้นและน่าพึงพอใจที่สุด เท่าที่ FromSoftware เคยสร้าง ด้วยบอสคลาสสิกที่ถูกปรับใหม่, ความลึกของกลยุทธ์, และระบบ Co-op ที่เน้นการร่วมมือกัน มันจึงกลายเป็นเกมที่แตกต่างจากภาค Souls แบบดั้งเดิม
หากคุณเป็นแฟน Souls ที่ชอบเกม Co-op ที่โหด, ระบบ Roguelike ที่ต้องฝ่าฟัน, และการเอาชนะบอสระดับตำนานกับเพื่อน Nightreign คือประสบการณ์ที่ทั้งเข้มข้นและคุ้มค่าที่ควรลอง
แต่อุปสรรคอย่าง ระบบ multiplayer ที่ยังไม่สมบูรณ์, การจับคู่ที่ไม่นิ่ง, ขาดระบบสื่อสาร, และเส้นโค้งการเรียนรู้ที่โหดร้าย ก็เป็นสิ่งที่ฉุดรั้งเกมนี้จากศักยภาพสูงสุดของมัน

คะแนน 7/10
ข้อดี
- เกมเพลย์ยังสนุกและท้าทาย
- การปรากฎตัวของบอสหลากหลายตัวจากทั้งแฟรนไชส์
- ส่วนของการวางแผนเตรียมตัวทำออกมาได้ลึก
- ถ้ามีเพื่อนเล่นด้วยถือเป็นหนึ่งในเกม co-op ที่สนุก
ข้อเสีย
- ระบบเชื่อมต่อหาห้องไม่เสถียรใช้เวลานาน
- ไม่มีระบบสื่อสารกับผู้เล่นทางบ้านที่สุ่มเจอ
- เกมไม่มีระบบช่วยเหลืออะไรเลย ผู้เล่นใหม่ต้องไปงมเอาเองทั้งหมด
- เกมไม่ได้ออกแบบไว้สำหรับเล่น solo มันยากเกินไป
Elden Ring Nightreign วางจำหน่ายแล้วบน Xbox Series, Xbox One, PS4, PS5 และ PC สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ทางการ
รีวิวฉบับนี้จัดทำขึ้นจากรหัสเกมที่ได้รับจาก Bandai Namco Entertainment Singapore สำหรับเวอร์ชัน PlayStation 5
อย่าลืมติดตาม Gamer555 เพื่อไม่พลาดข่าวสารเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
Discussion about this post