Dragon Quest เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์เกมบทบาทประกอบฉากยอดนิยมตลอดกาล และ Dragon Quest III คือหนึ่งในเกมคลาสสิกที่วางรากฐานให้ซีรีส์นี้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ ล่าสุด Square Enix ได้ทำการรีเมคเวอร์ชั่น HD-2D ของเกมภาคนี้ออกมา แต่ถึงแม้จะได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้น แต่ก็ยังคงรักษาจุดเด่นและแก่นหลักของต้นฉบับเอาไว้อย่างแนบแน่น ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาอาจทำให้ผู้เล่นสมัยใหม่บางคนรู้สึกผิดหวังและน่าหงุดหงิดไปบ้าง มาดูกันว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรในบทความ รีวิว Dragon Quest III HD-2D Remake นี้
เนื้อเรื่อง
เนื้อเรื่องของเกมเป็นแบบมาตรฐานตายตัว วีรบุรุษต่อสู้กับความชั่วร้าย มีความเรียบง่ายและไม่ลึกซึ้ง ทั้งในส่วนของเนื้อเรื่อง บทสนทนา และการสร้างตัวละคร ผู้เล่นจะเล่นในบทบาทของวีรบุรุษ/วีรสตรีที่ถูกแต่งตั้งโดยกษัตริย์แห่งเมือง Aliahan ให้ไล่ตามปีศาจ Baramos เพื่อช่วยโลกจากการคุกคามของเผ่าพันธุ์ปีศาจ
ในด้านเรื่องราว ไม่มีอะไรที่แฝงความลึกซึ้ง เนื่องจากเป็นเนื้อเรื่องมาตรฐสุดเบสิกและลืมได้ง่าย โดยเฉพาะการขาดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่นกับสมาชิกปาร์ตี้ นอกจากตัวเลือกตอบ “ใช่” หรือ “ไม่” เท่านั้น ตัวละครของผู้เล่นก็ไม่สามารถพูดได้ และปาร์ตี้ก็ออกแบบมาเป็นเพียงหุ่นเชิด เพื่อต่อสู้เท่านั้น ดังนั้นเนื้อเรื่องส่วนมากเกือบทั้งหมดจะดำเนินผ่านเหล่า NPC เสียมากกว่า ทำให้รู้สึกเสียอรรถรสอยู่พอตัว
ภาพและเสียง
บ่นส่วนเนื้อเรื่องไปแล้ว มาพูดถึง ส่วนที่โดดเด่นที่สุดของรีเมคนี้ คือการอัพเกรดกราฟิกให้เป็นแบบ HD-2D ที่สร้างความโดดเด่นในเรื่องของบรรยากาศและเอฟเฟกต์แสงสี แม้จะใช้กราฟิกแบบ 3D เต็มรูปแบบแทนการใช้สไตล์พิกเซลเหมือนเกมอื่นๆ อย่าง Octopath Traveler แต่ก็ยังคงสร้างความรู้สึกเก่าๆ แบบคลาสสิกให้กับสภาพแวดล้อมในเกมได้อย่างดี
สิ่งที่ดึงดูดใจเป็นพิเศษสำหรับผู้เขียน คือการที่โลกในเกมมีความเป็นมีชีวิตชีวา อย่างเช่นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างต่อเนื่องและราบรื่น ไม่ว่าคุณจะสำรวจโลกกว้างหรืออยู่ในระหว่างการต่อสู้ บางครั้งตัวเมืองที่คุณเข้าไปก็จะคึกคักไปด้วยผู้คน หรือก็อาจจะเงียบสงัดตามเวลาที่เปลี่ยนไป ดังนั้นหากคุณมาถึงตอนกลางคืน คุณก็ควรจะพักที่โรงแรมเพื่อรอให้เช้าขึ้นมาและเห็นว่าตัวเมืองกลับมาคึกคักอีกครั้งก่อนเล่นเนื้อเรื่องต่อไป รวมทั้ง NPC บางตัวเราก็จะไม่สามารถพูดคุยได้ในช่วงกลางคืนอีกด้วย
การเรียบเรียงเพลงประกอบใหม่ก็ช่วยเพิ่มความรู้สึกแห่งการผจญภัยให้กับโลกของเกมได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเพลงธีมของโลกกว้าง ที่ยังคงเป็นเพลงไอคอนิกที่ให้ความรู้สึกเหมือนคุณกำลังอยู่ท่ามกลางการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่
ระบบการต่อสู้
มาถึงระบบการต่อสู้ ซึ่งตรงนี้ค่อนข้างสับสนพอตัว Dragon Quest ก็ไม่ได้พัฒนามากนักในส่วนของการต่อสู้และองค์ประกอบคลาสสิกอื่นๆ แต่สิ่งที่ทำใหหงุดหงิดเป็นพิเศษคือความล่าช้า ราบเรียบ และต้องปั่นเวลปั่นของนานมากๆ ก็จริงอยู่ที่เกมให้ระบบเร่งการต่อสู้เป็น Fast และ Ultra-Fast แต่มันก็ยังช้าอยู่ดี เพราะความเร็วเริ่มต้นนั้นมันโคตรของโคตรช้า อย่างเช่น เวลาเราตีมอนชนะงี้ ต้องมารอจอสรุปผลที่บางทีนานเกินครึ่งเวลาการต่อสู้เสียอีก
ตัวเกมเพลย์ก็ราบเรียบเพราะเกมยังคงใช้การต่อสู้แบบมุมมองจากหลัง ซึ่งเป็นที่พบเห็นได้ในเกม Dungeon Crawler RPG เอาจริงเราก็รู้ว่ามีผู้เล่นจำนวนมากที่ชอบสไตล์นี้ แต่ส่วนตัวแล้วผู้เขียนไม่ค่อยชอบมากนัก โดยเฉพาะที่ทีมงานยังเปลี่ยนส่วนการยืนให้ตัวละครปาร์ตี้ทั้งหมดหันหน้าไปยังศัตรู ผลก็คือไม่เห็นแอคชั่นของตัวละครนอกจากเอฟฟเฟกต์สุดอลังการปล่อยออกมา อีกทั้งอย่าลืมว่าพอเกมมันช้ามากๆ แล้วเล่นในโหมด Fast หรือ Ultra-Fast รายละเอียดส่วนนี้ก็หายไปเกือบหมด
เรื่องของการเก็บเลเวลนั้น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก ไม่งั้นเวลาเข้าพื้นที่ใหม่เราจะโดนตบยับทุกที เกมนี้ยังคงระบบการเจอศัตรูแบบสุ่มอยู่ และเราจะต้องเจอกลุ่มศัตรูบ่อย ๆ ซึ่งน่าแปลกใจที่แค่การเก็บเลเวลปกติตามเนื้อเรื่องยังไม่พอที่จะสู้ให้รอดได้ การเก็บเลเวลในเกมนี้ก็ไม่ได้ง่าย ๆ เพราะทรัพยากรในช่วงต้นเกมนั้นขาดแคลนมาก ตัวอย่างหนึ่งคือ ถ้าตัวละครตัวหนึ่งตาย เราจะสามารถชุบชีวิตได้แค่ที่โบสถ์หรือไปหาพระในเมืองต่าง ๆ ซึ่งต้องจ่ายเงินค่อนข้างเยอะ นั่นหมายความว่าเราจะต้องย้อนกลับไปยังเมืองเดิม ๆ บ่อยมาก และหลีกเลี่ยงการเจอศัตรูไม่ได้เลย เว้นแต่จะเตรียม Chimaera Wings มาไว้ใช้เทเลพอร์ตระหว่างพื้นที่ต่าง ๆ
ในส่วนของระบบต่อสู้ ส่วนตัวแล้วไม่ค่อยชอบที่เกมยังขาดฟีเจอร์สำคัญอย่างการดูลำดับการโจมตีหรือเลือกศัตรูที่เราจะโจมตีได้ ในเกมนี้เราสามารถเลือกโจมตีศัตรูได้แค่ประเภทเดียว ถ้าเราเจอกลุ่มศัตรูที่มาจากหลากหลายสายพันธุ์ เราจะต้องจัดการพวกมันทีละตัว เพราะการโจมตีที่สามารถโจมตีกลุ่มใหญ่ได้มักจะจำกัดให้ใช้กับศัตรูประเภทเดียวเท่านั้น ซึ่งปัญหานี้ก็ยังเจอในหลาย ๆ เกมของซีรีส์นี้ จึงไม่ใช่เฉพาะ Dragon Quest III แต่ก็ยังสงสัยว่าทำไมทีมงานถึงยังคงระบบนี้ไว้ในรีเมค เพราะมันทำให้การเล่นยุ่งยากกว่าที่ควรจะเป็น
แน่นอนว่าทุกอย่างจะง่ายขึ้นเมื่อเราเล่นไปเรื่อย ๆ แต่ช่วงแรกที่ต้องย้อนกลับไปกลับมาและยังต้องเก็บเลเวลเยอะ ๆ ตลอดทั้งเกมนั้นไม่สนุกเอาเสียเลย ถ้ามีแรงจูงใจอะไรสักอย่างให้เล่นต่อคงจะดี แต่นี่ทั้งระบบต่อสู้และเนื้อเรื่องกลับจืดชืดจนทำให้สงสัยว่าจะเหลืออะไรให้สนุกอีก
ระบบอาชีพ
ระบบอาชีพหรือ vocation ในเกมนี้มีความลึกซึ้งมาก การที่ตัวละครไม่มีปฏิสัมพันธ์กันเลยกลับกลายเป็นเรื่องดี เพราะเราสามารถสร้างปาร์ตี้ตามที่เราชอบโดยไม่ต้องกังวลว่าตัวละครตัวโปรดจะหายไปจากการเล่น เพราะตัวละครในเกมนี้ก็แค่ตัวหุ่นที่มีสกินต่างกันเท่านั้น เราสามารถเลือกอาชีพได้หลายแบบตั้งแต่เริ่มสร้างตัวละครใหม่
อาชีพก็มีตั้งแต่ Hero ซึ่งเป็นอาชีพเริ่มต้นของตัวเอกที่เน้นความยืดหยุ่น, Martial Artist ที่คล่องแคล่วในการต่อสู้, Mage ที่ใช้เวทย์ธาตุที่ทรงพลังและมี MP เยอะ, Merchant ที่จำเป็นถ้าเราต้องการหาเงิน และอาชีพใหม่ที่เรียกว่า Monster Wrangler สำหรับ Monster Wrangler นั้นเป็นอาชีพที่ไม่เหมือนใคร มีความคล้ายคลึงระหว่าง Blue Mage และ Berserker แต่โดยหลักแล้วคืออาชีพที่อิงการใช้ความสามารถของมอนสเตอร์และสกิลเฉพาะ
ตัวละครแต่ละตัวก็ยังมี “บุคลิก” ที่ส่งผลต่อศักยภาพในการต่อสู้และการเติบโตที่มีจุดเด่นจุดด้อยต่างกันออกไป เป็นระบบลักษณะเฉพาะในเกมแนว JRPG ที่น่าสนใจและเปิดโอกาสให้เราได้ลองผิดลองถูกในการสร้างปาร์ตี้ แต่สิ่งที่ชอบที่สุดในระบบอาชีพครั้งนี้คือฟีเจอร์การปรับแต่งปาร์ตี้
เราสามารถปรับแต่งได้หลายอย่างเช่น ชื่อ, รูปร่างหน้าตา, สีผม และแม้กระทั่งเสียงของตัวละคร แม้ว่าเสียงเดียวที่พวกเขาจะส่งเสียงคือการคำรามในระหว่างต่อสู้ก็ตาม การปรับแต่งปาร์ตี้แบบนี้ค่อนข้างหาได้ยากในเกมแนว JRPG และก็ต้องบอกว่าน่าแปลกใจที่ระบบอาชีพของเกมนี้ยังคงโดดเด่น ซึ่งต่างจากระบบต่อสู้และองค์ประกอบอื่น ๆ ในเกมนี้อย่างสิ้นเชิง
ฟีเจอร์ QoL และการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ
เกมนี้มีฟีเจอร์ QoL ที่ช่วยทำให้การเล่นเกมง่ายขึ้นสำหรับผู้เล่นใหม่ อย่างแรกคือเราสามารถเลือกโหมดความยากได้สามระดับ แต่ก็เสียดายที่มันยังสมดุลไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะโหมด “Dracky Quest” ซึ่งเป็นระดับที่ง่ายที่สุด เพราะแม้ความยากจะเหมือนโหมดปกติ แต่ตัวละครของเราจะมีวันตายเหลือ HP 1 ตลอดเวลา ราวกับว่าเป็นโหมดโกง ส่วนตัวคิดว่าควรปรับให้มีความท้าทายมากกว่านี้แทนที่จะทำให้เราอมตะ เพราะศัตรูก็ยังน่ารำคาญอยู่ดีถ้าเรายังเลเวลน้อยและบางตัวก็เรียกพวกมาเสริมทัพได้เรื่อย ๆ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องความเร็วของการต่อสู้ที่เคยพูดถึงมาก่อน ซึ่งช่วยให้เล่นเกมนี้ได้สบายขึ้น(ถ้าไม่มีนี่เครียดแน่นอน) มีการตั้งค่าการแสดงผลที่จำเป็น เช่น การปรับแต่งมินิแมป การแสดงจุดหมาย และการปรับแต่งเสียงต่าง ๆ ฟีเจอร์ใหม่ที่อยากเน้นคือฟีเจอร์ Recall ซึ่งช่วยให้เราสามารถย้อนดูความทรงจำหรือการพบปะสำคัญในเนื้อเรื่องได้โดยไม่ต้องโหลดเซฟกลับไป ส่วนตัวตอนทำรีวิวไม่ได้ใช้ฟีเจอร์นี้เพราะตั้งใจฟังเนื้อเรื่องอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้เล่นที่อาจลืมรายละเอียดปลีกย่อยก็ถือว่ามีประโยชน์เลยทีเดียว
สรุป รีวิว Dragon Quest III HD-2D Remake
นี่เป็นรีเมคที่ซื่อตรงกับต้นฉบับอย่างมากซึ่งก็น่าประทับใจในแง่หนึ่ง เพราะถึงแม้ว่าจะมีการเพิ่มฟีเจอร์ QoL และการเปลี่ยนแปลงเพื่อทำให้เกมเข้าถึงง่ายขึ้น แต่ด้วยความที่ตรงกับต้นฉบับเกมก็ยังเล่นยากและน่าหงุดหงิดดังเดิม ตัวเกมยังคงรักษาองค์ประกอบคลาสสิคหลาย ๆ อย่างที่ส่วนตัวมองว่าตกยุคไปมากพอตัวแล้ว และควรมีอะไรมากกว่านี้กับการรีเมคภาคในตำนานของใครหลายคน
แน่นอนว่ามีบางอย่างที่ผู้เขียนชอบ เช่น กราฟิก HD-2D ของเกม ระบบอาชีพที่มีการปรับแต่ง และการเรียบเรียงเพลงใหม่ ๆ แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกอยากเล่นต่อ เพราะสุดท้ายแล้วเกมก็ยังเป็น JRPG ที่ปกติต้องเน้นเรื่องราว ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร และเกมเพลย์การต่อสู้ ซึ่งสำหรับ Dragon Quest III HD-2D Remake ทั้งหมดนี้มันอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีหรือเป็นจุดขายอีกต่อไป
ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าเกมนี้เคยเป็นเกมที่ปฏิวัติวงการในอดีต และเป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้กับซีรีส์นี้ ซึ่งผู้เล่นแนว JRPG รุ่นเก่าและแฟนพันธุ์แท้คงจะสนุกและชื่นชมเกมนี้ แตโดยส่วนตัวแล้ว เกมนี้อาจจะขายให้คนกลุ่มอื่น หรือผู้เล่นยุคใหม่ได้ยากอยู่พอตัว ถ้าจะให้แนะนำว่าผู้เล่นใหม่สมควรเริ่มภาคไหนแล้ว คงจะแนะนำเป็น Dragon Quest XI เสียมากกว่า
ข้อดี
- กราฟฟิก HD-2D ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม
- เพลงประกอบที่เรียบเรียงใหม่เสริมบรรยากาศเกมได้ดีมาก
- ระบบอาชีพใหม่ กับการปรับแต่งสมาชิกปาร์ตี้ทำมาสมกับเกม RPG
- มี QoL มากมายที่สัมผัสได้ว่าดีขึ้น
ข้อเสีย
- เนื้อเรื่องราบเรียบ แถมตัวละครในปาร์ตี้ก็ไม่มีบทอะไรเลย
- ระบบเกมเพลย์การต่อสู้ที่ตกยุค แถมช้าเอามากๆ
- สำหรับโหมดง่ายที่สุด ทำให้เกมง่ายเกินไป
- ต้องฟาร์มเอาเยอะมากๆ เยอะเกินจนอาจจะรู้สึกเบื่อไปก่อนที่จะเล่นจบ
คะแนน: 8/10
Dragon Quest III HD-2D Remastered จะวางจำหน่ายในวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้ บน PS5, Xbox Series, Nintendo Switch และ PC ผู้ที่สนใจสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ผ่าน เว็บไซต์ทางการ
อย่าลืมติดตาม Gamer555 เพื่อไม่พลาดข่าวสารเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
Discussion about this post