เกมใหม่เกมถัดไปของ Square Enix ที่เราได้ลองเล่นในสัปดาห์นี้คือ Dragon Quest I & II HD-2D Remake ด้วยระยะเวลาการเล่นประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง นับจากเมนูหลัก เกมจะให้คุณเลือกเล่นได้ทันที สำหรับบริบทโดยรวม เราเคยพรีวิว Dragon Quest III Remake ไปเมื่อปีที่แล้ว และเกมเพลย์ในครั้งนี้ให้ความรู้สึกค่อนข้างคล้ายกัน แม้ว่าแต่ละภาคจะมีแกนหลักและเรื่องราวที่แตกต่างกัน รายละเอียดจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ในบทความ พรีวิว Dragon Quest I & II HD-2D Remakes นี้ได้เลย
เริ่มต้นด้วย Dragon Quest I คุณจะไม่มีปาร์ตี้ แต่จะเป็นฮีโร่ผู้โดดเดี่ยวที่เดินทางและต่อสู้กับมอนสเตอร์เพียงลำพัง แนวทางนี้ทำให้มันแตกต่างจากเกม Dragon Quest ส่วนใหญ่อย่างชัดเจน และการรีเมคครั้งนี้ก็สามารถรักษากลิ่นอายคลาสสิกนั้นไว้ได้ ตั้งแต่เกมเพลย์ที่ปรับจูนมาอย่างดีและความสมดุลของเกม ไปจนถึงการนำเสนอภาพที่มีเสน่ห์และชวนให้นึกถึงอดีต

เรื่องราวของ Dragon Quest I Remake เริ่มต้นขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆ หลังจากเกิดเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งตัวละครของคุณได้รับมอบหมายให้ไล่ตามผู้แอบอ้างเพื่อทวงคืนกุญแจของโจร (Thief’s Key) แต่ตามสไตล์ของ Dragon Quest กุญแจก็ถูกขโมยไปอีกครั้งโดยศัตรูที่เป็นสัญลักษณ์ชื่อ Robbin’Ood หลังจากเอาชนะเขาได้ คุณก็ตระหนักว่าคุณต้องช่วยเหลือสหายที่ติดอยู่ในถ้ำก่อนจึงจะสามารถเอากุญแจคืนมาได้จริงๆ จากนั้นฮีโร่จึงต้องดำดิ่งลงไปในถ้ำ, ต่อสู้กับมอนสเตอร์, ช่วยเหลือพันธมิตร และค่อยๆ คลี่คลายปริศนาที่ใหญ่ขึ้นของเรื่องราว

มาต่อกันที่ Dragon Quest II ซีรีส์นี้ก็ใช้แนวทางที่แตกต่างออกไปเช่นกัน ครั้งนี้จะเน้นไปที่ระบบการต่อสู้มากกว่าเรื่องราว ในภารกิจที่เราได้เล่น เป้าหมายของคุณคือการตามหาประภาคาร ซึ่งกลับกลายเป็นกับดักที่วางไว้โดย Necromancer ผู้ชั่วร้ายที่รอคุณอยู่ โชคดีที่ตัวละครของคุณและสหายมองกลอุบายออกและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งใหญ่

ในแง่ของการต่อสู้ ทั้งสองเกมยังคงรักษาสไตล์เทิร์นเบสแบบดั้งเดิมไว้ แต่มีระดับความลึกที่แตกต่างกัน ใน Dragon Quest I เนื่องจากมีตัวละครเพียงตัวเดียว คุณจึงสามารถสลับอาวุธได้อย่างอิสระกลางการต่อสู้โดยไม่เสียเทิร์น ซึ่งหมายความว่าตัวละครของคุณสามารถเป็นผู้เล่นที่ “หลากหลาย” ได้ ไม่ว่าจะร่ายเวทย์, ป้องกัน หรือโจมตี โดยไม่ถูกล็อกอยู่กับอาชีพใดอาชีพหนึ่ง สกิลคลาสสิกอย่าง Sizz, Heal และ Snooze ก็กลับมาเช่นกัน

ในขณะเดียวกัน ใน Dragon Quest II ระบบปาร์ตี้เป็นตัวสร้างความแตกต่างที่สำคัญ สมาชิกแต่ละคนมีบทบาทเฉพาะ ตั้งแต่ Tank, Healer หรือ Sorcerer และชัยชนะในแต่ละการต่อสู้จะขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้ประโยชน์จากพวกเขาอย่างไร บอสตัวสุดท้ายในพรีวิวนี้คือ Necromancer ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าท้าทายและดูดพลังสมาธิของเราอย่างแท้จริง บางครั้งความพยายามในการชุบชีวิตก็ล้มเหลว ทำให้ศัตรูสามารถสังหารตัวละครได้ในครั้งเดียว และเมื่อ Healer ล้มลง เราก็รู้ได้ทันทีว่าการต่อสู้จบลงแล้ว องค์ประกอบต่างๆ พึ่งพา RNG อย่างมาก แต่มันก็คือความไม่แน่นอนนี้เองที่ทำให้การผจญภัยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ JRPG คลาสสิก
การรีเมคครั้งนี้ยังนำฟีเจอร์ปรับความเร็วการต่อสู้จาก Dragon Quest III Remake กลับมาด้วย ทำให้คุณสามารถตั้งค่าจังหวะการต่อสู้เป็น Normal, Fast หรือ Ultra-Fast ได้ นอกจากนี้ยังมีระบบทางลัดที่เข้าถึงได้โดยการกด R1 ค้างไว้ และคุณสามารถตั้งค่าได้สูงสุดสี่สกิลเพื่อการเข้าถึงที่รวดเร็ว สิ่งนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในการตัดสินใจว่าจะฮีลทีมเมื่อใดหรือจะปล่อยสกิลเฉพาะในจังหวะสำคัญ

สำหรับดนตรีและภาพ ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดถึงมากนัก เพราะมันมีมาตรฐานเดียวกับ Dragon Quest III Remake ภาพแบบ HD-2D ยังทำให้โลกมีชีวิตชีวา ในขณะที่ดนตรีก็ช่วยเสริมบรรยากาศทั้งในการต่อสู้และระหว่างการสำรวจ ท้ายที่สุดแล้ว การได้ลองเล่นในครั้งนี้ทำให้หวนนึกถึงอดีตอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราไม่เคยเล่นเกมทั้งสองภาคนี้จนจบ สำหรับใครที่สงสัยว่าทำไม Dragon Quest ถึงได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน JRPG ที่เป็นสัญลักษณ์มากที่สุดตลอดกาล การรีเมคครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
หากใครสนใจเกมนี้ Dragon Quest I & II HD-2D Remake จะวางจำหน่ายในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ บน PlayStation 5, Xbox Series, Nintendo Switch และ PC และ Square Enix ยังได้ยืนยันด้วยว่าเกมจะมีเวอร์ชัน Nintendo Switch 2 ควบคู่ไปกับคอนโซลรุ่นก่อนหน้า สำหรับรายละเอียดฉบับสมบูรณ์และอัปเดตเกี่ยวกับไตรภาคการรีเมค Dragon Quest สามารถติดตามได้ผ่านเว็บไซต์ทางการ
อย่าลืมติดตาม Gamer555 เพื่อไม่พลาดข่าวสารเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
Discussion about this post