อีกไม่ถึงสัปดาห์แล้วก่อน Final Fantasy VII Rebirth จะออกวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ทางเราได้รับโอกาสจากทาง Square Enix ให้ได้สัมผัสตัวเกมล่วงหน้า มาดูกันว่าหลังจากเล่นไปแล้วตัวเกมจะเป็นอย่างไรใน รีวิว Final Fantasy VII Rebirth
*รีวิวนี้ไม่มีสปอยล์เนื้อเรื่อง คัดมาเต็มที่แล้ว
ย้อนความเนื้อเรื่อง
อย่างที่รู้ๆ กัน Final Fantasy VII Rebirth ดำเนินเนื้อเรื่องต่อในทันทีจาก Final Fantasy VII Remake สำหรับใครที่อาจจะมาเล่นภาคนี้เป็นภาคแรก ตัวเนื้อเรื่องยังคงอยู่ใน setting ของ Final Fantasy VII ซึ่งเป็นภาคต้นฉบับ ตัวเกมเล่าเรื่องราวโลกที่เรียกว่า “The Planet” ผ่านกลุ่มตัวเอกที่ต้องการล้มล้างการปกครองของบริษัท Shinra Electric Power Company รวมถึงการปราบวายร้ายอย่าง Sephiroth อดีตทหารระดับสูงของ Shinra ที่กลับมาอีกครั้งเพื่อทำลายล้างโลก
และแน่นอนที่พูดว่าสำหรับใครที่จะมาเล่นภาคนี้เป็นภาคแรก เพราะว่าทาง Square Enix คิดถึงประเด็นนี้เช่นเดียวกันทำให้มีระบบ “The Story So Far” ซึ่งเป็นการสรุปเนื้อเรื่องของ Final Fantasy VII Remake ดังนั้นใครที่กังวลว่ามาเล่นครั้งแรก หรือใครที่เล่นอยู่แล้วแต่อาจจะลืมบางพอยต์สำคัญไปตัวเกมก็มีการระบุไว้เพื่อให้ประสบการณ์การเล่นภาค Rebirth ไม่ตกหล่น
การเล่าเรื่องผ่านตัวละครที่ละเอียดขึ้น
อีกหนึ่งระบบที่เพิ่มเข้ามาก็คือระบบค่าความสัมพันธ์ (Relationship system) ซึ่งทำให้การเดินทางเป็นปาร์ตี้ดูมีความจริงจังขึ้นว่าแต่ละคนผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมา นอกจากช่วยเสริมเนื้อเรื่องให้ดูเข้าที่เข้าทางขึ้นแล้ว ยังมีประโยชน์อื่นๆ จากระบบนี้ ทั้งท่าโจมตี(จะไปพูดเพิ่มเติมในส่วนของเกมเพลย์) คัทซีนพิเศษ บทพูดเพิ่มเติม ดังนั้นนี่จึงเป็นอีกหนึ่งระบบที่ทำให้สาย 100% อาจจะต้องมาเล่นซ้ำเพื่อเก็บฉากให้ครบแน่นอน
นอกจากการเล่าเรื่องราวผ่านปาร์ตี้หลักแล้ว เกมยังเจาะรายละเอียดที่เกิดขึ้นผ่านเควสรอง รวมถึงการพัฒนาของตัวละครเสริมอื่นๆ เพื่อให้เราอินไปกับโลกของ Final Fantasy VII มากขึ้น ซึ่งถือว่ามากลบจุดด้อยของภาคต้นฉบับที่ตัวเทคโนโลยียังไม่มาถึงในจุดนี้
พูดถึงเหล่าเควสรองเพิ่มเติม Final Fantasy VII Rebirth ถือเป็นหนึ่งในเกมที่เรียกได้ว่ามีเควสรองที่เสริมเข้ามาดีที่สุดเกมหนึ่ง เพราะในแต่ละเขตจะมีลักษณะเควสแตกต่างกัน เพื่อให้เข้ากับแต่ละเขต รวมถึงเรียนรู้เนื้อเรื่องประวัติศาสตร์เบื้องหลังของเขตนั้นๆ อีกทั้งการใส่บทพากย์เข้าไปเต็มรูปแบบทุกเควส ทุกตัวละครยิ่งระบุถึงความใส่ใจของทีมงานแบบเต็มเปี่ยม
สำหรับผู้เขียนได้ลองเล่นทั้งเสียงพากย์ JP และ EN ซึ่งถ้าเทียบกับ FF XVI ที่เสียงพากย์ EN ดูจะเหมาะสมกว่า ใน Final Fantasy VII การเล่นด้วยเสียงพากย์ JP รู้สึกอินมากกว่า ไม่ว่าจะเหล่าตัวละครหลัก หรือเหล่า NPC เสริมอื่นๆ ที่แทบไม่มีตัวที่รู้สึกติดขัดแบบที่ FF VII Remake ยังคงมีอยู่บ้าง
Open World
อีกหนึ่งสิ่งที่ทาง Square Enix ขายอย่างชัดเจนสำหรับภาคนี้ก็คือความเป็นกึ่ง Open world ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากภาคก่อน ถึงแม้จะไม่ใช่ Open world เต็มรูปแบบ แต่เนื้อหาที่ใส่ไว้ในเกมนั้นก็มีอยู่มากมายไม่ว่าจะไล่ตบเหล่ามอนสเตอร์ ทำเควสเสริม หาไอเทม ไล่เก็บโจโคโบะ หาซัมม่อนพิเศษ และอีกมากมาย
สำหรับระบบ Open world ของ FFVII Rebirth จะมีสิ่งหนึ่งช่วยอำนวยความสะดวกก็คือหอคอย ที่เมื่อไปถึงจุดหนึ่งในแผนที่และปลดล็อคหอคอย จะเป็นการเปิดพื้นที่รอบๆ ทั้งหมดและระบุสิ่งที่เราสามารถทำได้อย่างเช่น Combat Assignments, Lifesprings, Summon Crystals ฯลฯ
ถึงแม้ว่าแต่ละเขตจะมีลักษณะของเนื้อหาเสริมเหมือนๆ กัน แต่ว่าทุกอันจะมีเอกลักษณ์ที่สร้างความแตกต่างอยู่ด้วย อาทิเช่น Junon ก็จะมีโจโคโบะที่สามารถไต่ตีนเขาแคบๆ ได้ หรือใน Corel region ผู้เล่นสามารถใช้ Electric Scooter ใส่ชุดว่ายน้ำมาเดินในเมือง หรือการใช้ zipline ไปในสถานที่ต่างๆ ทำให้เรารู้สึกว่าได้เดินทางไปในอีกพื้นที่จริงๆ
สำหรับระบบ Fast travel ที่เคยเห็นผ่านตากันมาบ้าง ตัวระบบทำออกมาได้เยี่ยม(เพราะแทบไม่ต้องโหลด) แต่ว่าก็ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างง่ายไปขนาดนั้น ด้วยความที่ทางทีมพัฒนาอยากให้เราได้สำรวจพื้นที่ต่างๆ การ fast travel ก็จะไม่สามารถทำข้ามเขตแดนได้ การข้ามเขตก็จะมีวิธีเฉพาะไปแทนอย่างเช่นการไป Corel region ก็ต้องนั่งเรือเฟอร์รี่ไป ดังนั้นการทำให้แต่ละเขตไม่เหมือนกัน ทั้งที่ตัวเควสมีความคล้ายคลึงกันจึงเป็นความพยายามที่ดีทำให้รู้สึกว่าเราไม่ซ้ำจำเจ ยิ่งเวลาเล่นผ่านแต่ละ chapter ไปเรื่อยๆ
สำหรับความยากไม่ว่าจะสายสำรวจหรือสาย Speedrun ผู้เขียนเล่นที่ระดับความยาก Normal แต่เอาจริงๆ ก็รู้สึกว่ามันยากพอตัวเลยล่ะถ้าไม่ได้ฟาร์มมามากพอ(รู้สึกยากกว่า Remake) แบบที่เหล่าทีมพัฒนาได้ให้สัมภาษณ์ไว้ ดังนั้นการออกนอกลู่นอกทางไปฟาร์มของหา summon ใหม่ ฟาร์ม materia จะทำให้เราเล่นสนุกขึ้น ไม่ต้องไป speedrun ลุยเนื้อเรื่องแบบ non-stop แต่ถ้าอยากเสพเนื้อเรื่องแบบเต็มๆ ไม่ฟาร์มก็ไม่มีปัญหาแค่จะได้ความท้าทายในการเล่นเพิ่มขึ้น
ระบบความคืบหน้าตัวละคร
สำหรับด้าน character progress มีระบบใหม่เรียก “Folio” ตัวละครแต่ละตัวจะมี Folio แยกกัน ถ้าให้พูดมันก็คือ skill tree ของเกมอื่นๆ ที่เราสามารถเลือกเรียนรู้และแตกกิ่งก้านของสกิลไปหาจุดอื่นๆ โดยการใช้ Skill Points (SP) ซึ่งได้ทุกครั้งเมื่อเลเวลเพิ่มขึ้น หรืออาจจะใช้หนังสือมาเรียนเป็นกรณีพิเศษ(หาได้จากการซื้อ หรือทำเควส)
แต่ละกิ่งก้านของ Folio มีเอกลักษณ์แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น จะมีบางกิ่งที่ให้สกิลเพิ่มแบบพิเศษ หรือบางกิ่งก็ให้ Synergy Skills เพิ่ม โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเพิ่ม stat ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นของสกิลหรือตัวละครเช่น เลือด การโจมตีปกติ ดังนั้นทำให้เรามีทางเลือกได้พอตัวว่าอยากให้แต่ละตัวละครของเราเด่นไปทางด้านไหน หรือได้สกิลไหนเป็นพิเศษ
ในความคิดของผู้เขียน Rebirth ให้มุมลึกของการเล่นมากขึ้นด้วย Folio ที่ทำให้การเพิ่มเลเวลของตัวละครไม่ได้เป็นทางตรงแบบ Remake ดังนั้นเมื่อเล่นไปเรื่อยๆ ตัวละครตัวเดียวกันของแต่ละคนก็จะมีความแตกต่างกันในการต่อสู้ไม่มากก็น้อย
ระบบความคืบหน้าของสวมใส่
ในฐานะ open-world RPG แน่นอนว่าเราอยากเห็นระบบ progression ที่ซับซ้อน จุดนี้อาจจะเป็นข้อที่ทีมไม่ได้พัฒนาเพิ่มขึ้นจากภาค Remake โดยเฉพาะกับ Materia และอาวุธ แต่ละตัวมี equipment 3 ประเภท weapons, armor และ accessories
weapon progression ยังคงเหมือนเดิมตามที่เกริ่นไป ถ้าใครอยากให้ Cloud เป็นสาย battle mage ก็ยัด materia ที่ให้ได้สกิลเวทย์แล้วปั๊ม stat ฝั่ง magic attack หาอาวุธที่ช่วยเสริมในจุดนี้มา(แต่ละอาวุธมีจุดเด่นแตกต่างกันไป) สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาก็คือมีระบบ “auto upgrade” เพิ่มเข้ามา สามารถเลือกได้ว่าอยากให้อาวุธพัฒนาไปในสายไหน โจมตี ป้องกัน หรือสมดุล
ส่วนวิธีการอัปเกรดของอาวุธและ materia ยังคงเหมือนเดิม คือยิ่งใช้ยิ่งเลเวลเพิ่ม ข้อดีใน Rebirth ก็คือต่อให้ตัวละครไม่ได้อยู่ในปาร์ตี้หลัก เหล่าอาวุธและ materia ของตัวละครที่เล่นได้ทุกตัวก็จะเพิ่มเลเวลเหมือนกันในทุกๆ การต่อสู้ ลดเวลาการฟาร์มถ้าคุณอยากสลับตัวละครเล่นบ่อยๆ
ในส่วนของ armor และ accessories ทุกอย่างก็ยังคงเดิม แต่ละอุปกรณ์มีค่า stat ที่เพิ่มให้เพื่อเล่นในแต่ละสาย ดังนั้นถ้าใครเล่น Remake มาก่อนก็จะรู้วิธีการฟาร์มที่เหมาะสมมากกว่า เอาเป็นว่าขอแค่อุปกรณ์มีช่องใส่ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี สำหรับผู้เล่นใหม่รู้ไว้เท่านี้ก็พอ
เกมเพลย์ต่อสู้
แกนหลักของการต่อสู้ยังคงเช่นเดิมจาก Remake สู้ไปเรื่อยๆ เพื่อเติมแถบ ATB ทำให้เราใช้สกิล เวทย์ ไอเทม หลบหลีกเมื่ออยู่ในจุดที่จำเป็น ผสมผสานกับการใช้ Tactical Mode menu ที่ทำให้เกมมีความเป็น turn base หรือสำหรับสาย action ก็สร้างคีย์ลัดมาเพื่อไม่ต้องเสียเวลากดแถบเมนู
สิ่งที่พัฒนาไปจากภาคก่อนก็คือการที่มีตัวละครเพิ่มขึ้น ทำให้เราสามารถปรับแต่งรายละเอียดในปาร์ตี้ของเรามากขึ้นตามไปด้วย ทำให้การเล่นมีความซับซ้อนและสนุกขึ้นในด้านการวางแผน และความไม่ซ้ำจำเจ
พร้อมกันนี้กับการเพิ่มระบบ synergy system ที่ตัวละครสองตัวในปาร์ตี้ของเราใช้ท่าประสานพิเศษโดยไม่ต้องใช้เกจ ATB นอกเหนือไปกว่านั้นแล้วยังมี “Limit” attack ที่ใช้เกจ synergy เป็นเหมือนการสั่งการให้ตัวละครสองตัวทำท่าประสานกันเพื่อพลังโจมตีที่สูงขึ้นรวมถึงเอฟเฟคต์พิเศษที่ได้ตามมาหลังจากนั้นแลกกับการเบิร์นเกจ ตัวอย่างก็เช่นการมี MP ไม่จำกัด หรือเพิ่ม Limit Break levels ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามแต่ละการต่อสู้ได้ ซึ่งระบบนี้ก็ไปเกี่ยวเนื่องกับระบบความสัมพันธ์ที่ระบุไปในช่วงต้น ดังนั้นการประสานสองสิ่งนี้เข้าด้วยกันทำให้เรารู้สึกอินกับการเดินทางของเหล่าตัวละครมากขึ้นไปด้วย
ขอย้อนมาพูดเรื่องความยากอีกครั้ง ด้วยความที่ Final Fantasy VII ยุค Remake ต้องการให้มีส่วนผสมของความคลาสสิคและแอคชั่นยุคใหม่ ทำให้เกมมีความซับซ้อนในการเล่นซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับผู้เล่นใหม่ได้ รวมทั้งระบบ parry และหลบที่บางครั้งต่อให้กดถูกจังหวะก็ไม่สามารถทำได้อยู่ดี ดังนั้นมันจึงไม่ลื่นไหลเท่าเกม Action RPG จ๋าๆ ส่งผลให้บอสบางตัวยากกว่าที่ควรจะเป็น(แต่สำหรับคนที่เล่นจนชิน ก็จะไม่รู้สึกอะไร)
โดยรวมสำหรับเกมเพลย์การต่อสู้ใน Rebirth ตัวแกนหลักยังยกมาจากภาคเก่าเพิ่มเติมคือความอิสระของตัวละคร ทั้งการปรับแต่ง Folio ที่พูดไปก่อนหน้า รวมถึง synergy ที่เพิ่มเข้ามา ทำให้เกมเพลย์มีความหลากหลาย แต่ก็แลกมากับความไม่ลื่นไหลเท่าเกมแอคชั่นจ๋า หรือการที่ทุกคำสั่งจะเป็นไปตามที่เราคิดแบบเกม turn base ซึ่งอาจจะขัดใจใครบางคน(แต่แน่นอนเราไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้)
Mini Game
เรียกว่านี่เป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่ไม่พูดถึงไม่ได้เพราะมินิเกมใน Final Fantasy VII Rebirth มีเยอะมากๆ และเราเห็นหลายๆ เกมไปแล้วใน trailer รวมถึง demo แต่มันก็ยังไม่หมด มันมีเยอะมากจริงๆ ตัวอย่างเกมหลักๆ ก็เช่น
- Queen’s Blood
- Moogle Mischief
- Hustle de Chocobo
- Piano Performance
- Jumpfrog
- Pirate’s Rampage
- Run Wild
- Warm Up Crunch Off
ซึ่งที่จริงยังมีเยอะกว่านี้ เราจะปลดล็อคให้เล่นได้เรื่อยๆ ตามเนื้อเรื่องที่เราเล่นไป
ถึงแม้ว่ามินิเกมจะเป็นส่วนเสริมที่หลายเกมอาจจะไม่ต้องไปแตะเลยก็ได้ถ้าไม่อยากได้ของ แต่ว่ามินิเกมบางตัวใน Rebirth จะบังคับให้เราเล่นเพื่อไปต่อในเนื้อเรื่องซึ่งผู้เขียนไม่ได้คิดอะไรมาก(บางคนอาจจะคิด) แต่ถ้าจะให้แนะนำมินิเกมที่คิดว่าสนุกที่สุดคงเป็น Hustle de Chocobo หรือ Racing ที่เราสามารถปรับแต่งโจโคโบะได้ รวมถึงมีรางวัลให้เหมาะแก่การเล่นซ้ำ
ภาพ เสียง และประสิทธิภาพ
Final Fantasy VII Rebirth ถูกพัฒนามาเพื่อลง PS5 โดยเฉพาะ ดังนั้นเรื่องกราฟฟิคเรียกว่าดึงสเปคเครื่องออกมาแทบทุกหยด ทั้งดีเทลภาพรวม รายละเอียดยิบย่อย แต่ถ้าถามว่ามันจะเหมือนคนละเกมใน PS4 เลยหรือเปล่า คนที่เล่นเดโมมาก่อนหน้าก็คงตอบได้เป็นคำตอบเดียวกันว่าไม่ เพียงแต่ในดีเทลมันละเอียดกว่าเท่านั้น
ใน Final Fantasy VII Rebirth มี setting 2 แบบก็คือ performance และ graphics ซึ่งสามารถปรับได้ในระหว่างเกม โดยในจุดนี้น่าจะเป็นข้อเสียที่คนเล่นเดโมก็ได้สัมผัสกันมาบ้างแล้ว อย่างใน graphics mode ก็จะพบว่ามีหลายครั้งที่ frame rate ไม่เสถียร โดยเฉพาะในกลางฉากการต่อสู้ที่ปล่อยท่ากันตูมตามอลังการ ก็ต้องหวังว่า day 1 patch ที่ออกมาจะแก้ไขเพิ่มเติม(ในรีวิวยังเล่นแพทช์เดียวกับเดโม เพียงแต่สามารถเล่นได้ทุก chapter) แต่ถ้าดูจากเกมก่อนหน้าอย่าง FF XVI ขอให้เผื่อใจไว้เล็กน้อย
โดยส่วนมากผู้เขียนจะเล่นด้วย performance mode ที่ให้ FPS ที่เสถียรแต่อาจจะมีบางจุดที่เบลอหรือรายละเอียดไม่ชัด แต่ถือว่าดีขึ้นหลังจากทีมงานมีแพทช์แก้ไขเพิ่มเติมในวันที่ผ่านมาก่อนรีวิวนี้จะปล่อยออกมา
ในส่วนของฟีเจอร์อื่นๆ ที่เกมใช้งาน อย่าง Adaptive Triggers และ Haptic Feedback คุณจะรู้สึกได้ชัดเจนมากเมื่ออยู่ในการสำรวจแผนที่ อย่างการขี่โจโคโบะ หรือในการเล่นมินิเกมอย่าง Pirate’s Rampage
สำหรับงานเสียง แน่นอนว่า Square Enix มีจุดเด่นด้านนี้แต่ไหนแต่ไร ดังนั้นไม่ว่าจะเสียงพากย์ เสียงประกอบทั้งในคัทซีน ฉากต่อสู้ ฉากสำรวจโลกกว้าง มันออกมายอดเยี่ยมมากๆ ต้องขอขอบคุณทั้ง Mitsuto Suzuki และ Masashi Hamauzu ที่ทำงานนี้ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
สรุป รีวิว Final Fantasy VII Rebirth
ถ้าถามว่าหลังจากภาค Remake แรกเราจะคาดหวังว่าภาค Remake ที่สองจะพัฒนาได้ออกมาดีเพิ่มเติมขนาดนี้ไหม ก็คงไม่มีใครคาดว่ามันจะแตกต่างได้มากขนาดนี้ ซึ่งทาง Square Enix ก็ทำได้ออกมามีเอกลักษณ์ต่างจากภารก่อน ทั้งการขยายโลกเป็นกึ่ง open world ระบบความสัมพันธ์ การพัฒนาตัวละครที่ไม่ใช่เส้นตรง ระบบการต่อสู้ที่ซับซ้อนขึ้น ดังนั้นถือว่ามันดีกว่าที่คาดไว้พอสมควรนับตั้งแต่วันที่เล่นภาค Remake
ดังนั้นใครที่เล่น Remake แล้วปล่อยจอยตื่นมาอีกทีเกมก็ออกแล้ว ต้องบอกว่า Rebirth นั้นมีสิ่งต่างๆ ให้ทำมากมาย ทั้งอิสระในการเล่นที่เพิ่มขึ้น เนื้อเรื่องที่ทุกจุดปลีกย่อยมีความโดดเด่นของมันเอง หรือถึงแม้ว่าจะไม่เทียบกับภาคเก่า Final Fantasy VII Rebirth ก็ยังเป็นอีกหนึ่งในเกมที่ดีที่สามารถให้ใครก็ได้ไม่ต้องเป็นแฟน Final Fantasy มาเล่นแล้วจะรู้สึกสนุกไปกับมัน
ข้อติเดียวก็คือเรื่องกราฟฟิคไม่ว่าจะโหมดไหนก็ตามมีจุดด้อยที่ไปไม่สุดอยู่ทั้งคู่ ซึ่งส่วนนี้หวังว่าแพทช์ในอนาคตจะสามารถแก้ไขได้
ข้อดี
- เนื้อหาในเกมเยอะมากแม้จะเป็นกึ่ง open-world
- การสำรวจแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างไม่ซ้ำจำเจ
- ระบบการต่อสู้มีมิติและซับซ้อนยิ่งขึ้น
- ระบบความสัมพันธ์มีผลชัดเจนต่อการต่อสู้ เนื้อเรื่อง และคัทซีน
- เพลงยอดเยี่ยม งานพากย์เสียงใส่เต็ม แม้จะเป็นเควสเสริมก็ตาม
ข้อเสีย
- ระบบการต่อสู้อาจจะยากสำหรับผู้เล่นบางคน แอคชั่นไม่สุด turn base ไม่สุด ทำให้เกมมีความยาก แต่ถ้าปรับ easy mode ก็ง่ายเกินไปอีก
- การประมวลผลภาพมีปัญหาในโหมด Graphics และ Performance
คะแนน: 9.5/10
อย่าลืมติดตาม Gamer555 เพื่อไม่พลาดข่าวสารเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
Discussion about this post