Persona ถือเป็นเกมที่มีประวัติมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่เปิดตัวในปี 1996 ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ความเป็น Persona ในยุคปัจจุบันผ่านทางการเปลี่ยนแปลงของ Persona 3 ที่วิวัฒนาการเกมไปอีกขั้นในทุกๆ ด้าน แน่นอนว่าทำให้การรีเมคเกมภาคนี้เหล่าแฟนๆ หลายคนจึงเฝ้ารอเป็นอย่างมาก มาดูกันว่าผลงานรีเมคของ Atlus จะออกมาเป็นอย่างไรใน รีวิว Persona 3 Reload นี้
*เนื้อหาบางส่วนของรีวิวมีการเปิดเผยเนื้อเรื่องช่วงต้นของ Persona 3 Reload
เกริ่นนำเนื้อเรื่อง
ก่อนที่จะเข้าสู่การผจญภัยภายในเกม เรามาดูการเกริ่นนำกันสักเล็กน้อย
ใน Persona 3 Reload ตัวเราจะได้รับบทเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนในโรงเรียน Gekkoukan High school ที่อยู่บริเวณเกาะ Tatsumi Port ซึ่งมันก็ควรจะเป็นชีวิตในโรงเรียนทั่วไปแต่ว่าตัวเอกของเราดันได้ไปเผชิญหน้าเหตุการณ์ที่เรียกว่า Dark Hour ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลากลางคืนทำให้มีมอนสเตอร์ที่เรียกว่า Shadows เกิดขึ้นมา แถมคนทั่วไปก็ถูกเปลี่ยนไปนอนในโลง แต่บุคคลที่ไม่โดนแปลงร่างนั้นแย่ยิ่งกว่าเพราะอาจจะโดนโจมตีได้ ซึ่งคนที่ถูกโจมตีจะอยู่ในสถานะที่เรียกว่า Apathy Syndrome
ซึ่งอันที่จริงตัวเอกของเรานั้นเจอเหตุการณ์ Dark Hour มาก่อนหน้านี้นานแล้วเพียงแต่คราวนี้เจ้าตัวได้กลายมาเป็นผู้ใช้ Persona จริงๆ เพื่อต่อสู้กับเหล่า Shadows และทำให้ได้เข้าร่วมกับหน่วย Specialized Extracurricular Execution Squad (S.E.E.S.) ซึ่งเป็นทีมที่มีเป้าเพื่อต่อสู้กับ Shadows และกำจัดเหตุการณ์ Dark Hour ให้หมดไป
นอกจากการต่อสู้ที่ยากลำบากแล้ว การค้นหาต้นตอก็ยากเช่นเดียวกัน โดยในเนื้อเรื่องนั้นจะมีหอคอย Tartarus ซึ่งทีมคาดว่านี่คือความลับเบื้องหลังของ Dark Hour ซึ่งนอกจากจะต้องรับมือกับเหล่า Shadows S.E.E.S ไม่ใช่กลุ่มผู้ใช้ Persona กลุ่มเดียวเพราะยังมีข้อขัดแย้งกับกลุ่มผู้ใช้อื่นที่เรียกว่า Strega ซึ่งมีมุมมองและเป้าหมายที่ต่างกัน แต่เป็นที่ชัดเจนว่า Strega ไม่ต้องการให้ Dark Hour นั้นหายไป และนี่คือเนื้อเรื่องคร่าวๆ ก่อนที่เราจะเข้าไปเล่นเกม
สำหรับเนื้อเรื่องในภาคนี้ Atlus ได้มีธีมในทางชีวิต ความตาย ความหมายของการใช้ชีวิต ซึ่งทีมงานแสดงให้เห้นผ่านทั้งเนื้อเรื่องหลัก เนื้อเรื่องเสริมจากตัวละครรอง(บางคนถึงกับกล่าวว่าเป็นภาคที่มีความกดดัน ทำให้รู้สึกซึมมากที่สุด) แต่มันก็ทำให้เราจะได้รู้สึกเข้าใจแนวคิดตัวละครมากขึ้นเพราะหลังจากที่แต่ละตัวละครผ่านการยอมรับความตาย ก็จะทำให้แนวคิดของตัวละครนั้นเปลี่ยนออกไป
ในด้านวิธีการเล่าเรื่องนั้นโดยเฉพาะการตอบโต้พูดคุยกันระหว่างตัวละคร Persona 3 Reload ยังคงใช้วิธีการเล่ารูปแบบเดิมคือมีตัวละคร 3D และภาพขึ้นมาในหน้าจอที่พัฒนาให้ละเอียดมากขึ้น อีกทั้งการปรับบทพูดให้ครอบคลุมและเข้ากับนิสัยของตัวละครมากขึ้น แม้ว่าเราจะได้สัมผัสเนื้อเรื่องส่วนนี้จากภาคต้นฉบับ อนิเมะ แต่ภาครีเมคนี้ยังนำเสนอในส่วนใหม่ๆ ที่ยังคงเนื้อหาเดิมไว้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นใครที่กังวลว่าเกมรีเมคนี้จะเปลี่ยนเนื้อเรื่องจนมีผลกระทบสำคัญ ก็ต้องบอกได้เลยว่าภาครีเมคนี้ทำมาโดยมีความเคาระภาคต้นฉบับสูงมาก แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่ปรับปรุงให้มันดีขึ้นแทน .
กิจวัตรประจำวัน
ถ้า Persona 3 Reload เป็นเกม turn-based RPG ทั่วๆ ไป มีเนื้อเรื่องเป็นเส้นตรงเราคงไม่ต้องใช้เวลามากกว่า 100 ชั่วโมงเพื่อเล่นมันอย่างแน่นอน ซึ่งเกม Persona ยุคใหม่ก็ต่างมีระบบที่ทำให้เกมเพลย์นั้นยาวขึ้นด้วยการผสมเกมเพลย์ด้านชีวิตประจำวัน การเป็น social simulator เข้าไป เพราะตัวเอกและผองเพื่อนก็ยังเป็นนักเรียนอยู่ เรามีเวลาตามปฏิทินที่ค่อยๆ นับไปแต่ละวันเพื่อทำให้เนื้อเรื่องนั้นคืบหน้า ถึงแม้อาจจะมีบางช่วงขาดหายไปเพราะเนื้อเรื่องบังคับให้ทำ แต่ว่าในส่วนเกมเพลย์ชีวิตประจำวันนั้นยังมีอยู่มากมายเพียงพออย่างแน่นอน
ตัวเกมมีกิจกรรมมากมายให้เราทำแทบทุกวัน ในแต่ละช่วงเวลา ช่วงเวลาที่เราว่างมากที่สุดก็คือช่วงกลางวันและช่วงเย็นหลังเลิกเรียก (สำหรับช่วงกลางวันจะมีให้เราเล่นในวันหยุดที่ไม่มีเรียน) ซึ่งช่วงเวลาเหล่านี้เราก็สามารถทำกิจกรรมได้มากมายกับตัวละครต่างๆ ไม่ว่าจะเดินเที่ยว ทำกิจกรรม เล่นมินิเกม เพื่อเพิ่ม Social Links
สำหรับ Social Link ถือเป็นอีกหนึ่งระบบสำคัญแต่เราจะมาพูดในส่วนนี้กันทีหลัง มาพูดถึง Social Stats กันก่อนซึ่งเป็นค่าสถานะพิเศษที่ระบุว่าตัวละครของเรามีความสามารถด้านอื่นๆ อย่างไรบ้าง ทั้งความกล้าหาญ ความน่าดึงดูด ความสามารถการเรียน และอื่นๆ ซึ่งค่าสถานะพวกนี้เราจะเมินเฉยไม่ได้เพราะว่าจะทำให้ปลดล็อค perk ในเกมบางอย่างและทำให้ความสัมพันธ์กับตัวละครอื่นเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งแต่ละตัวที่เราสามารถไปปฏิสัมพันธ์นั้นก็ใช้ค่าสถานะที่แตกต่างกันดังนั้นการเล่นให้ปลดล็อคส่วนนี้ทั้งหมดจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายมากเลยทีเดียว
แต่ขอดักคอสำหรับผู้เล่นเก่าไว้ก่อน เพราะผู้เขียนทำมาแล้วโดยการไปดูไกด์ภาคต้นฉบับซึ่งมันช่วยอะไรในส่วนนี้ไม่ได้เลย(แต่หลังจากเกมวางจำหน่ายน่าจะมีคนปล่อยไกด์แน่ๆ) ซึ่งบางคนอาจจะคิดว่าทำไมต้องทำอะไรขนาดนั้นซึ่งเกมก็มีระบบที่เอื้อให้แก่ผู้เล่นสายนี้โดยการที่มีฟีเจอร์พิเศษ Vox Populi เพื่อแสดงให้เห็นเลยว่าผู้เล่นอื่นเลือกทำอะไรมากที่สุดในแต่ละตัวเลือก ไม่ว่าจะออกเดท เดินชิล หรือแม้กระทั้งข้อสอบ
พูดถึงข้อดีไปแล้วมาพูดถึงข้อจำกัดที่เรารู้สึกได้ตอนเล่น ถึงแม้ส่วนชีวิตประจำวันนั้นจะน่าสนใจเพราะดูมีอะไรให้ทำหลากหลาย แต่กลับกัน Persona 3 Reload ดูจะมีข้อจำกัดในจุดนี้และทำให้รู้สึกน่าเบื่อเมื่อเราเล่นไปเรื่อยๆ ตัวอยากที่รู้สึกก็คือช่วงเวลาเย็นที่ร้านรวงต่างๆ ปิดตัวทำให้เหลือสถานที่และกิจกรรมไปได้น้อย ผลก็คือมันซ้ำไปซ้ำมา หรืออีกช่วงก็คือช่วงกลางคืนที่ไม่ใช่วัน Full Moon ที่เราเข้าไปสำรวจ Tartarus ที่บางครั้งเราอาจจะเชี่ยวชาญมากเกินไปจนเคลียร์ทั้งดันเจี้ยนได้ในคราวเดียว แล้วก็ต้องรอจนถึงช่วง Full Moon ซึ่งอาจทำให้น่าเบื่อเพราะไม่มีอะไรทำแล้ว
อย่างไรก็ดีไม่ใช่ว่าส่วนนี้จะมีแต่ข้อเสีย เพราะ Persona 3 Reload พยายามกลบจุดอ่อนในช่วงนี้เช่นเดียวกันด้วยการเพิ่มสิ่งต่างๆ ให้ทำเวลากลางคืน อย่างเช่นหอพัก Iwatodai ซึ่งเป็นสถานที่ที่เราและสมาชิกในปาร์ตี้มีกิจกรรมร่วมกันไม่ว่าจะ ติวหนังสือ ทำอาหาร ดูทีวี แถมยังมีการเสริมเนื้อเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครไว้ในส่วนนี้ แล้วยังส่งผลต่อความสามารถในการต่อสู้จากความเชื่อใจที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นโดยสรุปก็คืออาจจะมีแค่ช่วงเย็นเท่านั้นที่อาจจะเป็นจุดบอดของเกมเพลย์ด้านชีวิตประจำวันตัวละคร(แต่จริงๆ มันไม่ได้แย่นะ)
Tartarus รูปแบบใหม่
Tartarus ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของ Persona 3 ภาคต้นฉบับที่มีส่วนสำคัญทั้งเกมเพลย์และเนื้อเรื่อง มันมีส่วนที่น่าสนใจและน่าค้นหา แต่บางคนก็อาจจะรู้สึกเบื่อไปด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะว่าถึงแม้มันจะเป็นหอคอยมีร้อยชั้นที่แต่ละชั้นมีการสุ่มแผนที่ต่างกัน แต่ว่าสิ่งที่ทำในนั้นมีแค่การไล่กระทืบ Shadows ไปเรื่อยๆ ดังนั้นในด้านการสำรวจองค์ประกอบของ Tartarus เมื่อเล่นไปสักพักแล้วอาจจะลดความน่าตื่นเต้นลง แล้วไปเน้นเกมเพลย์ในฉากการต่อสู้แทน
ทีนี้มาดูกันใน Persona 3 Reload ว่า Atlus ได้ปรับแต่งไปมากแค่ไหน ซึ่งมันก็มีส่วนที่เปลี่ยนไปมากจริงๆ ทั้งองค์ประกอบในแผนที่ที่มีรายละเอียดมากขึ้น ซึ่งแต่ละชั้นก็มีความแตกต่างกันออกไป แตกต่างในระดับที่ตัวละครมีบทพูดพิเศษเพิ่มเติมว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรเมื่อเจอสถานการณ์ตรงหน้า
อีกส่วนที่มีการปรับปรุงอย่างมากก็คือการปรับปรุง Monad Depths(เป็นส่วนของดันเจี้ยนที่เข้าได้ตอนช่วงใกล้จบเกม) ในภาคนี้เราสามารถเข้าถึงได้ทันทีเป็นเหมือนพื้นที่เสริมผ่าน Monad Door และ Monad Passage ซึ่งทำให้เราจะเจอด่านเดิมที่มีความแตกต่างออกไปทั้งบอสที่ยากขึ้น รางวัลที่สูงขึ้น ความแตกต่างของประตูกับทางก็คือถ้าเป็น Monad Door มันจะเกิดแบบสุ่ม และมักจะมีบอสแค่ตัวเดียว แต่ถ้าเป็น Passage จะเป็นพื้นที่ที่กำหนดไว้แล้วและมีบอสมากขึ้นแลกมากับรางวัลที่สูงขึ้นคือ Major Arcana cards
Major Arcana cards คืออีกหนึ่งระบบอัปเกรดที่สามารถหาได้จาก Tartarus ซึ่งเราจะมีสิทธิ์ได้เลือกหลังจากช่วง Shuffle Time ตอนจบการต่อสู้โดยในภาคนี้เกมทำให้มีความรู้สึกอยากเก็บ Major Arcana card ให้มากขึ้นเพราะจะทำให้สามารถใช้ Arcana Burst ได้ และส่งผลให้อัปเกรดที่ได้ส่งผลถาวร(ตราบเท่าที่ยังอยู่ในวันเดียวกัน) ส่งผลให้เราอยากเข้าไปฟาร์ม Tartarus มากขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนี้ยังมีกิมมิคเล็กๆ น่าสนใจเพิ่มขึ้นมาอย่างการเพิ่มประเภทของ Shadows ที่ให้ไอเทมหรือ EXP มากขึ้น การที่ทำให้ตัว support มีความสำคัญจากการลงดันเจี้ยนเป็นเวลานาน โดยรวมถึงแม้ Tartarus อาจจะไม่ซับซ้อนเทียบเท่า Palace ในภาค 5 แต่ถือว่าทีมงานพัฒนาตัวดันเจี้ยนได้มากขึ้นจากต้นฉบับอยู่โข และเหมาะสมสำหรับคนที่ชอบเกมเพลย์ด้านการต่อสู้เป็นที่สุด
ระบบการต่อสู้ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมี
มาถึงระบบการต่อสู้ ซึ่งเราเคยพูดไปคร่าวๆ ในพรีวิวแล้วว่ามันลื่นไหล ว่องไว และหลังจากได้เล่นก็บอกเลยว่ามันเป็นระบบการต่อสู้ที่ขัดเกลามาดีที่สุดในแฟรนไชส์ อาจจะดูเวอร์แต่ผู้เขียนรู้สึกแบบนั้นจริงๆ นอกจากระบบต่างๆ แล้ว องค์ประกอบอย่างอนิเมชั่นก็ยังทำออกมาเสริมได้ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน
เกมเพลย์หลักของการต่อสู้ยังคงเป็น classic turn-based ที่หากเรามีข้อมูลแพ้ธาตุของศัตรูก็จะทำให้เราได้เปรียบอย่างมาก ซึ่งแน่นอนว่าตัวเอกเราโกงที่สุดเนื่องจากจำนวน Persona ที่มีทำให้สามารถปรับวิธีการเล่นให้เหมาะกับการต่อสู้ที่แตกต่างกันออกไปได้
ระบบจุดอ่อนนั้นยังคงสำคัญทั้งในแง่ของ damage และได้เทิร์นฟรี ซึ่งในเทิร์นฟรีนี้สามารถใช้ระบบ Shift system หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อ Baton Pass ของ Persona 5 ที่สามารถส่งเทิร์นให้ตัวละครอื่น ทำให้สามารถใช้ท่าสำคัญซ้ำได้รัวๆ รวมทั้งหากศัตรูทั้งหมดติดสถานะอ่อนแอยังทำให้เราสามารถกดใช้ All-Out Attack ได้อีกด้วย
อ้อแต่อย่าลืมว่าระบบเทิร์นฟรีไม่ได้มีผลแค่ศัตรู เราก็มีเหมือนกัน ถ้าเราโดนตีเข้าจุดอ่อนศัตรูก็มีโอกาสได้เทิร์นฟรี(ซึ่งทำตี้แตกมาหลายทีแล้ว) อีกทั้งเกมยังมีสถานะผิดปกติต่างๆ มากมายซึ่งบางครั้งทำให้ตัวละครทำอะไรไม่ได้ไปหลายเทิร์นดังนั้นศึกษาให้ดีและนำทีมเข้าไปให้เหมาะสมเวลาเข้าไปเจอบอสแต่ละตัว
อีกสิ่งหนึ่งที่มีส่วนสำคัญคือ Theurgy skill ซึ่งเป็นสกิลเฉพาะตัวของแต่ละตัวละครโดยเป็นเกจพิเศษ(เพิ่มได้โดยการเล่นเกมเพลย์ให้ตรงกับนิสัยตัวละคร เช่น สาย Support ก็ใช้สกิลสนับสนุนก็จะได้เกจนี้) ซึ่งถ้าเล่นในตอนแรกอาจจะงงๆ ว่าเกจนี้มันเพิ่มได้อย่างไร เราสปอยล์ว่าตัวเอกน่ะใช้ได้ง่ายสุด แค่เปลี่ยน Persona ไปเรื่อยๆ แล้วโจมตีให้โดนจุดอ่อนเกจก็ขึ้นแล้ว แต่บางตัวเงื่อนไขก็ยากเหลือเกิน
Velvet Room
มันคงไม่เป็น Persona ถ้าไม่มีห้องนี้รวมถึง Igor และเลขา ซึ่ง Velvet Room เป็นสถานที่สำหรับการอัปเกรดตัวละครที่เราสามารถเข้าถึงเมื่อไหร่ก็ได้ (ในภาคนี้เป็นประตูสีฟ้าที่ Paulownia Mall และล็อบบี้ก่อนเข้า Tartarus) สำหรับเนื้อเรื่องของห้องนี้แนะนำว่าเล่นเองจะดีกว่า
ภายใน Velvet Room เราจะมีฟีเจอร์ที่สามารถผสมและสร้าง Persona ขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็ฯสิ่งที่เกม Persona มีอยู่เสมอ โดยสิ่งที่เปลี่ยนไปใน Persona 3 Reload ก็คือการที่ทำให้ระบบผสมนั้นเข้าใจได้ง่ายขึ้น นอกจาก Persona พิเศษที่มีสูตรผสมที่ต้องตามหาแล้ว Persona ทั่วไปก็จะใช้แค่ 2 ตัวในการผสมเท่านั้นไม่ต้องไปหาสูตรผสมแบบสมัยก่อนมันทุกตัว
ซึ่งการปรับระบบนี้ให้ง่ายขึ้นเป็นผลดีอย่างมากเพราะเราอุตว่าห์ฟาร์มมาเราก็ไม่อยากใช้ Persona จำนวนมากในเการผสม แล้วถ้ายิ่งผสมแล้วออกมาไม่ดีมันยิ่งวายป่วงเข้าไปใหญ่ อ้อแต่พอระบบนี้ถูกแก้ดังนั้นไกด์การผสม Persona ยุคเก่าก็เททิ้งน้ำไปได้เลย รวมถึงการมี Persona ใหม่เข้ามารวมถึงการนำ Persona เก่าออกไป ดังนั้นต่อให้เป็นผู้เล่นเก่าความสนุกในการผสมก็ยังคงอยู่
นอกจากการใช้เวลาไปกับการอัปเกรดผสม Persona แล้ว ในห้องนี้เรายังมีภารกิจเสริมจาก Elizabeth(Best Waifu 555) อารมณ์ว่าไปหาของมาให้เธอเพราะเธออยากเห็นว่าของจริงมันเป็นอย่างไร หรือบางภารกิจก็จะเกี่ยวกับความคืบหน้าในการสำรวจ Tartarus ถึงแม้ภารกิจจะดูดาดๆ ทั่วๆ ไป ไม่ค่อยน่าสนใจแต่การที่ได้เห็น Best Waif… เอ้ย Elizabeth มีปฏิสัมพันธ์กับเรานั่นแหละสุดยอด(เราพา Elizabeth ไปข้างนอกได้นะถ้าทำภารกิจมากพอ ดังนั้นทำซะ)
Social Link
วกกลับมาถึง Social Link ที่เราติดเอาไว้ ซึ่งเป็นระบบผูกสัมพันธ์กับตัวละครอื่นๆ ไม่ว่าจะตัวละครหลักหรือตัวประกอบบทจืดจาง ซึ่งแต่ละคนจะมี Arcana ประจำตัวแตกต่างกัน และค่าความสัมพันธ์ก็จะเพิ่มขึ้นตราบใดที่ Persona ของเราเข้าได้กับ Arcana ตัวละครนั้นๆ โดยในภาคนี้มีทั้งหมด 10 rank นอกจากการเพิ่มด้วย Persona แล้วการมีปฏิสัมพันธ์ก็ยังมีผลในการเพิ่มแรงค์หรือลดก็เป็นได้(เกมจีบหนุ่มจีบสาวนั่นแหละ)
สิ่งที่ผู้เล่นหลายคนรู้สึกว่าระบบ Social Link ของ Persona 3 ภาคต้นฉบับต้องถูกยกเครื่องใหม่ก็คือการที่หากเป็น Social Link ของตัวละครผู้หญิงในตี้ของเราผลสุดท้ายมันกลายเป็นฮาเร็มร้อยเปอร์เซ็น ยังดีที่ Persona 3 Reload แก้ไขในจุดนี้เราสามารถมี Social Link Rank 10 โดยที่ไม่ต้องคบเป็นแฟนสร้างฮาเร็มก็ได้ เป็นเพื่อนสนิทก็ได้จริงไหม(ในเกมมีคำเตือนด้วยเวลาเลือกเส้นทางที่ทำให้ความสัมพันธ์เปลี่ยนไป)
Atlus ยังได้ยกเครื่อง Social Link ครั้งใหญ่ด้วยการเพิ่มเสียงพากย์เข้าไปให้มันครบทุกบทสนทนา(ครั้งแรกในแฟรนไชส์) และถึงแม้เกมจะไม่มีระบบ Social Link ให้ตัวละครชายในปาร์ตี้แต่เกมก็เพิ่มระบบ Linked Episodes ขึ้นมา(ซึ่งมันดี เพราะเราจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชายเลยจะแปลกมาก) นอกจากนี้ยังเป็นการปูเนื้อเรื่องให้กับผู้เล่นใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคยในตัวละครภายในทีมของเรา ซึ่งนี่ไม่ใช่แค่ในทีม S.E.E.S แต่รวมถึง Strega ที่ทำให้เรารู้เรื่องราวแรงจูงใจของพวกเขามากขึ้น
แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ผู้เขียนรู้สึกว่ามันดีได้มากกว่านี่ อย่างเช่นการให้มีรางวัลมากขึ้นเมื่ออัปเกรดแรงค์ เพราะในช่วงท้ายเกมมันไม่ค่อยส่งผลเท่าไหร่ อีกส่วนที่รู้สึกผิดหวังก็คือการที่ในภาคนี้ดึงระบบ Social Link ในส่วนกิจกรรมชมรมออกไป จากแต่เดิมเราสามารถเลือกเข้าร่วมชมรมได้เพิ่มขึ้น ตอนนี้เราก็อยู่กับแค่ทีมของเราเท่านั้น(มีอีกอันคือชมรมศิลปะ) ส่วนนี้ก็เข้าใจว่าทีมงานอยากทำให้เนื้อเรื่องดูสมจริงมากขึ้น แต่ว่าการที่เราสามารถเข้าชมรมได้หลากหลายในภาคต้นฉบับทำให้ Social Link มีความน่าสนใจมากขึ้นอีกทั้งดึงดูดให้กลับมาเล่นซ้ำเพื่อหาฉากใหม่ๆ อีกด้วย
เสียงและภาพ
ส่วนสุดท้ายของการรีวิว เรามาพูดถึงส่วนที่แสดงตัวตนถึงความเป็น Persona มากที่สุดก็คืองานภาพ และ เพลง โดยเฉพาะเพลงดนตรีประกอบ ในคราวนี้เรามีเพลงชุดใหม่ที่ได้เสียงร้องของ Azumi Takahashi แทนที่คุณ Yumi Kawamura
ซึ่งแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแต่ Persona 3 Reload ยังคงมีเพลงประกอบที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะเพลงใหม่ที่มีในภาคนี้เป็นครั้งแรกอย่าง Color Your Night ที่มาในแนวชิลๆ หรือ It’s Going Down Now ที่ถือเป็นอีกหนึ่งเพลงประกอบการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในแฟรนไชส์ ในส่วนของเพลงเก่าที่นำกลับมาปรับปรุงใหม่ก็ทำได้ดีไม่แพ้กันทั้งการเพิ่มท่อน rap ของบางเพลง หรือมีเนื้อร้องเพิ่มเติม
สำหรับในส่วนของงานภาพ Persona 3 Reload นำแนวภาพของ Persona 5 มาใช้อย่างชัดเจน แต่ก็ไม่มากล้นจนกลบความเป็น Persona 3 แบบดั้งเดิม เรายังเห็นองค์ประกอบเดิมๆ หลายอย่าง โดยเฉพาะหน้าการต่อสู้ UI หรือบางส่วนที่นำมาใหม่อย่าง All-Out Attack ก็ถือว่าผสมออกมาได้อย่างลงตัวไม่ติดขัดอะไร ในส่วนของกราฟฟิค แน่นอนว่าด้วยการอัปเกรดขึ้นของเทคโนโลยีก็ทำให้ตัวโมเดล 3D อนิเมชั่น แสงสภาพแวดล้อมประกอบดีขึ้นไปด้วย ข้อเสียอย่างหนึ่งที่สังเกตได้ก็คือมันไม่คงที่ในด้านองค์ประกอบฉาก บางจุดเหมือนทีมงานจะลืมใส่เข้ามาทำให้พื้นที่โดยรอบดูแบนลงไปอย่างถนัดตา
สรุป รีวิว Persona 3 Reload
Persona 3 แบกชื่อเสียงมาอย่างมากในฐานะเกม RPG ที่ปฏิวัติวงการเกมและถือว่า Atlus ทำการบ้านมาได้ดีกับการสร้างมาตรฐานใหม่อีกครั้งใน Persona 3 Reload ในฐานะแฟนที่อวยเกมในแฟรนไชส์นี้มาแบบสุดๆ ผู้เขียนเห็นการเอาใจใส่กับการรีเมคภาคนี้เป็นอย่างมาก เพราะมันให้ความเคารพภาคต้นฉบับอย่างชัดเจนในขณะเดียวกันก็เพิ่มสิ่งต่างๆ ที่ควรพัฒนาขึ้นให้สอดคล้องกับยุคสมัย
ไม่ต้องพูดถึงในด้าน เพลง องค์ประกอบศิลป์ เกมเพลย์ อีกส่วนที่ทำให้ประทับใจก็คือการเพิ่มเข้ามาของปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร การเล่าเรื่องที่ละเอียดสมจริง และทำให้เราอินมากขึ้น ธีมการยอมรับความตาย การค้นหาความหมายชีวิต มันสามารถเป็นเกมที่เล่นแล้วไม่คิดอะไรเลยก็สนุกได้เหมือนตอนเรายังเด็ก แต่ก็มีมุมที่เราในวัยผู้ใหญ่ให้ขบคิดผ่านการพัฒนาตัวละครดังนั้นมันจะเป็นภาคที่ต่อให้แม้เป็นผู้เล่นใหม่ก็สามารถชอบ Persona ได้ไม่ยาก ถึงแม้เกมยังจะมีจุดบกพร่องอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วถือว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่สมควรหามาเล่นครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน
ข้อดี
- มีการพัฒนาระบบเกมมากมายแต่ยังคงกลิ่นอายความเป็นต้นฉบับ
- เนื้อเรื่องเดิม แต่บทดีขึ้น มีฉากเพิ่มขึ้น
- ระบบการต่อสู้ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา
- ระบบ Linked ยอดเยี่ยม
- งานภาพและ soundtracks ยอดเยี่ยม
ข้อเสีย
- Social Link ดีอยู่แล้วแต่ยังมีจุดที่ปรับปรุงได้มากกว่านี้
- แม้กราฟฟิค งานภาพจะยอดเยี่ยมแต่ยังมีบางจุดยังดูขัดๆ อยู่
คะแนน: 9.25 / 10
*คะแนนพิเศษ 10 / 10 เพราะคนเขียนรีวิวอวย Persona
Persona 3 Reload เตรียมวางจำหน่ายในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2024 บน PlayStation 4, PlayStation 5, Xbox One, Xbox Series X|S และ PC ติดตามบทสัมภาษณ์กับทาง Production Manager ได้ที่นี่ หรือกับทาง โปรดิวเซอร์และผู้กำกับ ได้ที่นี่
อย่าลืมติดตาม Gamer555 เพื่อไม่พลาดข่าวสารเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
Discussion about this post