The Last of Us Part 2 Remastered กับการปรับกราฟฟิคและเพิ่มโหมดใหม่ให้กับตัวเกมมาดูกันว่าทาง Naughty Dog ได้ใส่อะไรมาเพิ่มกันบ้างใน รีวิว The Last of Us Part 2 Remastered นี้
ก่อนที่จะเข้ารีวิวอย่างเป็นทางการ(ซึ่งจะเน้นที่ความเปลี่ยนแปลงจากภาคหลัก) เรามาพูดถึง The Last of Us Part 2 กันก่อนโดย Part 2 นี้คือการดำเนินเรื่องต่อจากภาคแรกโดยการเปลี่ยนมุมมองการเล่าเรื่องที่ใช้ Ellie และ Abbys เป็นตัวหลัก
โดยตัวเกมนั้นถือเป็นเกม exclusive ท้ายๆ ในยุค PlayStation 4 ที่ถึงแม้จะมีเรื่องเทคโนโลยีมาเป็นขีดจำกัดของตัวเกมทีมงานก็ยังทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมทัดเทียมพอที่จะสู้กับหลายๆ เกมในยุคปัจจุบันเสียด้วยซ้ำ พอมีการ Remastered ขึ้นแฟนๆ จึงคาดหวังให้ทีมงานทำออกมาให้ได้ยอดเยี่ยมอย่างที่ The Last of Us Part 1 เคยทำมาก่อนหน้า
โหมด No Return
สำหรับเนื้อหาที่มีการเพิ่มขึ้นมาอย่างชัดเจนก็คือโหมด No Return ที่เป็นแนวการเล่นแบบ roguelike survival ที่มีการสุ่มด่าน สุ่มศัตรู และรับของรางวัลเพื่อต่อสู้ในด่านต่อไป ซึ่งเท่าที่เล่นมาตัวโหมดมีความลึกในการเล่นทำให้มีอิสระในการเลือกอัปเกรดความสามารถของตัวละครให้เหมาะสมกับศัตรูที่จะเจอเมื่อผ่านด่านไปเรื่อยๆ
ในโหมดนี้จะมีให้เลือกระหว่าง Standard Run(ให้เกมเลือกให้คุณ) กับ Custom Run ที่เราสามารถแก้ไขปรับแต่งว่าจะให้เกิดอะไรขึ้นได้สำหรับคนที่อยากลองท้าทายวิธีการเล่นบางอย่าง รวมถึง Daily Run ที่จะเปลี่ยนไปทุกครั้งในแต่ละวันแถมยังเล่นได้ครั้งเดียวเพื่อผ่าน challenges และสำหรับคนที่ชอบการแข่งขีนโหมดนี้ยังมี Leaderboard เพื่อที่จะแสดงให้เห็นเป็นสถิติว่าเราไปได้ไกลแค่ไหนในแต่ละตัวละคร ซึ่งก็มีตัวละครมากมายที่ให้เล่นโดยที่ในเกมภาคหลักเราไม่ได้เล่นมาก่อนเช่น Dina, Jesse, Lev, และ Tommy
เนื้อหาอื่นๆ
อีกหนึ่งส่วนที่น่าสนใจคือ Lost Levels ซึ่งเป็นด่านเฉพาะที่ถูกตัดออกจากเกมไปในช่วงระหว่างการพัฒนา ซึ่งปลดล็อคตั้งแต่เริ่มเกมโดยมีด่านให้ทั้งหมด 3 ด่านก็คือ Jackson Party, Seattle Sewers และ The Hunt
แต่ละด่านจะถูกระบุอย่างชัดเจนว่านี่คือช่วง pre-alpha ดังนั้นจึงไม่ได้มีบทพูดอะไร แต่เราสามารถกดเพื่อดูคอมเมอนต์ของทางทีมพัฒนาซึ่งทำให้เรารู้เบื้องหลังของกระบวนการผลิต ว่าตรงไหนทางทีมงานมีความคิดเห็นอย่างไร ทำไมถึงคิดส่วนนี้ ทำไมถึงตัดออกไป ซึ่งมันแปลกใหม่และเป็นเอกลักษณ์อย่างมากในความคิดของผู้เขียน เพราะส่วนมากทีมพัฒนาจะเก็บสิ่งที่ไม่ได้ถูกใส่ไว้ในเกมเต็มเป็นความลับ แต่คราวนี้เราสามารถดูได้แบบเต็มๆ เลยทีเดียว
มินิเกมกีตาร์ยังคงมีเช่นเดิมแต่ง่ายขึ้นด้วยโหมด Guitar Free Play ที่สามารถปรับแต่งการเล่นได้หลากหลายยิ่งขึ้น
PS5 Performance & Features
ส่วนนี้คงไม่ต้องอธิบายมากเพราะ The Last of Us Part 2 สามารถปรับกราฟฟิคและ performance สุดในระดับ 4K resolution หรือหากเล่นใน Performance mode กราฟฟิคเกมก็ยังยอดเยี่ยมอยู่ดี ส่วนระบบอื่นๆ อย่างเช่น Haptic Feedback และ Adaptive Trigger ของจอยคอนโทรลเลอร์ยังคงครบถ้วน
สิ่งที่ดูพัฒนาชัดเจนคือความเร็วในการโหลด ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนกับ The Last of Us Part 2 บน PS4 ส่วน accessibility features ที่ทีมพัฒนาใส่มาเพิ่มก็อย่างเช่น Descriptive Audio(เสียงบรรยาย) และ Speech to Vibrations(จอยสั่นระหว่างบทพูด)
สรุป รีวิว The Last of Us Part 2 Remastered
จากหนึ่งในภาคต่อที่ผู้คนถกเถียงด้านเนื้อเรื่องกันมากที่สุด Naughty Dog ยังคงใส่เต็ม The Last of Us Part 2 แม้ต้นฉบับจะทำออกมาได้ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่ว่า Remastered ยังทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมไปมากกว่าเดิม รวมทั้งยังเพิ่มเนื้อหาใหม่อย่าง No Return หรือ Lost Levels
สิ่งหนึ่งที่เป็นมิตรแก่ผู้เล่นเก่าก็คือการจ่ายเงิน 10 USD เพื่ออัปเกรดเกมเดิมให้กลายเป็น Remastered ส่วนใครที่ยังไม่เคยเล่น The Last of Us ก็ควรจะเล่นภาคแรกมาก่อนและเล่นภาคสองต่อเนื่องในทันทีอารมณ์จะได้ไม่ค้างคา
ถึงแม้จะเห็นว่ามีแต่ข้อดี แต่อย่าลืมว่ามันก็คือเกมเดิมที่อัปเกรดเพิ่มในแพลตฟอร์มใหม่ อะไรที่เกมเดิมมีช่องโหว่ไว้ เวอร์ชั่นอัปเกรดก็ไม่สามารถแก้ได้ โดยเฉพาะในส่วนของเนื้อเรื่องที่มีการถกเถียงกันนั่นเอง
ข้อดี
- โหมด No Return ทำมาดีและเล่นสนุก
- Lost Levels น่าสนใจมาก
- ปรับปรุงคุณภาพสูงให้เข้ากับความสามารถของ PS5
- มีราคาพิเศษสำหรับคนที่มีเกมอยู่แล้ว
ข้อเสีย
- เนื้อเรื่องยังคงเหมือนเดิมบางคนชอบบางคนเกลียด
- บางส่วนของแคมเปญลากยาวไปหน่อย
Discussion about this post