Rise of the Ronin เกมใหม่ล่าสุดของ Team Ninja ที่เคยพัฒนาเกมอย่าง Dead or Alive, Ninja Gaiden และ Nioh มาดูกันว่าความทะเยอทะยานในการทำเกม open-world นั้นจะเป็นอย่างไรใน รีวิว Rise of the Ronin นี้
เนื้อเรื่อง
ก่อนที่จะเริ่มการผจญภัยใน Rise of the Ronin เกมก็จะนำเสนอระบบการปรับแต่งอย่างที่เราพูดไว้ในพรีวิวที่ผ่านมา ไม่ว่าจะรูปลักษณ์ตัวละครทั้งสอง หรือว่าคลาสที่มีให้เลือกใช้รวมถึงค่าสถานะต่างๆ
สำหรับเนื้อเรื่อง Rise of the Ronin อยู่ในช่วงยุค Bakumatsu ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านญี่ปุ่นในปลายสมัยเอโดะ ซึ่งเกิดสงครามทุกแห่งหนที่เหล่าเจ้าแคว้นเริ่มก่อกบฎต่อรัฐบาลโทกุกาว่า จากอิทธิพลของชาติตะวันตก แต่ปล่อยเรื่องการเมืองไว้เบื้องหลัง บัดนี้ตัวละครของเราเป็น Ronin ที่ในอดีตเคยเป็นนักรบแฝดแห่ง Veiled Edge ซึ่งถูกชุบเลี้ยงโดย Kurosu clan ที่มีเป้าหมายในการล้มล้างระบอบโชกุน แต่ปัจจุบันจากเหตุการณ์บางอย่างทำให้ตัวละครของเราเปลี่ยนเส้นทางมาเป็นโรนินแทน
ซึ่งด้วยความนำประวัติศาสตร์จริงของญี่ปุ่นมาใช้ในการเล่าเรื่อง ก็จะมีตัวละครหลายตัวที่เรารู้จักกันดีอย่าง Ryoma Sakamoto, Taka Murayama, Matthew Perry และอื่นๆ อีกมากมายหลายคน แน่นอนว่าการมาของบุคคลจริงในประวัติศาสตร์นั้นส่งผลในเกมแทบจะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป้าหมายของตัวเอก หรือการดำเนินเนื้อเรื่องพื้นหลังไปด้านหน้า แต่ละตัวละครจะมีเป้าหมายของตัวเองและผลสุดท้ายทำให้เราต้องเลือกข้างว่าจะช่วยเหลือพวกเขาหรือไม่ ทำให้ตัวเรามีอิสระในการเล่นว่าจะต่อต้านระบบโชกุนดั้งเดิม หรือจะสวามิภักดิ์เพื่ออนุรักษ์ระบอบเก่าเอาไว้
ซึ่งภารกิจและเนื้อเรื่องที่เราจะได้รับก็จะแตกต่างไปตามฝั่งที่เราเลือกเล่น ซึ่งรวมถึงบทสรุปด้วยเช่นกัน แต่ถ้าเรายังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะอยู่ฝั่งไหน ตัวเกมก็จะมีระบบค่าความสัมพันธ์เพื่อเรียนรู้ว่าแต่ละตัวละครมีพื้นเพเบื้องหลังอย่างไร เพื่อให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้น แล้วก็ถ้าค่าความสัมพันธ์มากพอเราสามารถจีบตัวละครได้ด้วย
OPEN-WORLD
สิ่งที่เป็นจุดขายในเกมนี้คือความเป็น open-world ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายทีมพัฒนาเพราะนี่คือครั้งแรก โดยหลังจากในสัมผัสมามันมีความเป็น open-world อยู่สูงมาก เซ็ตติ้งของโยโกฮาม่าก็ใหญ่เอามากๆ ในระดับที่แบ่งออกเป็น 20 เขตย่อยแต่ละเขตก็มีกิจกรรมต่างๆ มากมาย
ด้วยความที่โยโกฮาม่าถือเป็นเขตท่าเรือที่มีชาติตะวันตกมาติดต่ออยู่มากทำให้เขตเมืองจะมีอิทธิพลของชาติตะวันตกอยู่ให้เห็นไม่ว่าจะตึกรามบ้านช่อง เหล่าชาวต่างชาติ อาวุธยุทโทปกรณ์จากฝั่งตะวันตก รวมถึงมีความหลากหลายให้เห้นภายในเมืองทั้งผู้มั่งคั่ง คนยากไร้ หลายวัฒนธรรม หรือมีกระทั่งไช่าทาวน์ให้เห็นก็มี
แน่นอนว่าโลกกว้างขนาดนี้ตัวละครเราก็ต้องมีพากหนะอย่างม้าเพื่อให้เราเคลื่อนที่ได้ว่องไว รวมถึงเครื่องร่อนเพื่อเข้าไปในพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก รวมทั้งยังมีเชือกโหน และท่าผาดโผนอีกมากมาย เอาเป็นว่าถึงแม้ไม่อยากเปรียบเทียบแต่มันเหมือน Assassin’s Creed ที่ในที่สุดก็มาที่ประเทศญี่ปุ่นเสียที
ความหลากหลายของภารกิจที่ให้ทำมีมากมาย ที่พื้นฐานที่สุดคือ Public Order คือการไปปราบเหล่าโจรตามพื้นที่ ซึ่งอันนี้เคยระบุไว้แล้วในพรีวิวก่อนหน้าของเรา หรือภารกิจอื่นๆ อย่างหาจุดถ่ายรูป ตามหาแมวหาย มินิเกมเครื่องร่อน และอื่นๆ อีกมากมายซึ่งทั้งหมดมีของรางวัลตอบแทนทั้ง Skill Points การเข้าถึงอุปกรณ์พิเศษต่างๆ
ถึงแม้จะเป็น open-world แต่ตัวเกมก็ไม่ซ่อนอะไรให้น่ารำคาญนัก(เราสามารถเก็บ 100% แต่ละเขตได้ไม่ยาก) แต่ไม่ใช่ว่าเกมมีเนื้อหาน้อยเลย 100% ไว แต่ว่ามันไม่มีอะไรจุกจิกน่ารำคาญ หาของที่ซ่อนอยู่ยุบยับเพื่อให้ครบ 100% เรียกว่าใครที่เป็น perfectionist ก็ไม่ต้องมารำคาญกับการนั่งตามเก็บแต่ละเขตให้ครบโดยที่ไม่ได้อะไรตอบแทน
สิ่งหนึ่งที่อยากพูดถึงก็คือระบบ Longhouse หรือบ้านของตัวละครที่จุดเด่นอยู่ที่แมว(อยากรู้ต้องไปเล่นในเกมนะ 555) นอกจากนี้ยังมีส่วนอื่นๆ ทั้งการปรับแต่งตัวละคร การจัดเก็บของ การปรับดีไซน์อาวุธเหมือนการใส่สกินที่จะได้ stat ของชิ้นที่ใส่แต่รูปลักษณ์เป็นอีกชิ้น
COMBAT
สิ่งที่สร้างชื่อให้ Team Ninja ก็คือระบบการต่อสู้ สำหรับ Rise of the Ronin ในส่วนนี้มีความคล้ายคลึงกับ soulslike games โดยเฉพาะเกมก่อนหน้าอย่าง Nioh ตัวละครเราจะมีอาวุธหลักสองชิ้นและช่องรองเพิ่มเติมที่เป็นอาวุธระยะไกล และไอเทมใช้งาน เกมเพลย์นั้นตอบสนองรวดเร็วไม่ติดขัดเรียกว่ายังเป็นจุดเด่นของทีมเสมอมา
จุดที่เหมือนกันและยังทำได้ดีคือสไตล์การต่อสู้ที่ปรับเปลี่ยนไปตามอาวุธซึ่งทำให้รู้ว่าตัวละครเรามีความถนัดที่หลากหลายอีกทั้งแต่ละอาวุธก็มีสไตล์การต่อสู้มาให้ถึง 3 แบบด้วยกัน เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความถนัดของเรารวมถึงปรับให้เหมาะสมกับศัตรูตรงหน้า ทำให้เกมเพลย์มีความหลากหลายมากขึ้นตาม และทำให้ตัวเราต้องมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดต่างจาก Nioh ที่เราสามารถใช้ท่าเดียวเคลียร์เกมได้ถ้าชำนาญมากพอ
อีกหนึ่งระบบคือ Blade Flash คือท่าที่ใช้ต่อเนื่องหลังจากออกท่าโจมตี โดยจะเป็นการปัดอาวุธลงดินเพื่อนำเลือดที่ติดอยู่บนอาวุธออก ยิ่งมีเลือดสะสมในเกจมากเท่าไหร่ เราจะฟื้น stamina เพื่อทำให้การโจมตีต่อเนื่องมากเพิ่มขึ้นเท่านั้นแทนที่จะถอยเพื่อไปฟื้นฟูพลังตามปกติ ทำให้เกมเพลย์ต่อเนื่องมากขึ้นไปอีก ถ้าใช้จนเชี่ยวชาญ
สำหรับความยากนอกจากส่วนการปรับระดับเกมที่ปรับตอนไหนก็ได้ ตัวศัตรูในแต่ละระดับก็เปิดกว้างให้กับผู้เล่นใหม่มากขึ้น ไม่ต้องมาหลบท่าโจมตีประหลาดที่ทำให้ stamina ขึ้นช้าอย่างใน Nioh และถึงแม้ว่าคนเขียนจะเล่นในระดับยากที่สุด(Twilight) โดยที่ไม่ได้เป็นผู้เล่น soulslike ระดับสูง ก็สามารถผ่านบอสและศัตรูไปได้ไม่ยากนัก อีกส่วนหนึ่งก็คือเนื่องจากเกมนำประวัติศาสตร์จริงมาใช้ ก็จะไม่มีบอสแปลกๆ หลุดมาจากโลกแฟนตาซีที่สู้ยากแบบผิดปกติมาให้เราสู้ด้วยนั่นเอง
แบบนี้ผู้เล่นที่เชี่ยวชาญคงจะรู้สึกว่าแล้วมันจะมีความสนุกแบบ soulslike เหลืออยู่หรือไม่ คำตอบคือมันยังมีเมคคานิคที่ไม่ได้เล่นแล้วคล่องตั้งแต่รอบแรกอย่างการ parry(Counterspark) เพราะว่าศัตรูแต่ละตัวจะมีรูปแบบการโจมตีที่แตกต่างและการ parry ครั้งเดียวไม่สามารถทำให้เกิด Counterspark ได้ดังนั้นการเล่นรอบแรกโดยที่ไม่รู้อะไรเลยก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น หากไม่ตายก็ต้องใช้เวลาจับจุดกันพอสมควร
ความบันเทิงก็คือบอสจะมีท่าที่เรียกว่า Martial Skill ซึ่งก่อนโจมตีจะมีจุดแดงขึ้นซึ่งท่านี้จะ parry ได้ยากกว่าปกติและรุนแรงเอามากๆ สิ่งที่ทำให้บันเทิงก็คือบางท่ามันไม่มีทาง parry ได้ซะอย่างงั้นบังคับให้เราหลบอย่างเดียว ซึ่งไม่มี iFrame นะครับ หลบคือต้องหลบออกมานอกวงจริงๆ ดังนั้นมันก็จะมีบางครั้งที่เราอยากลองสวนแต่โดนทุบแบนแทนก็มี มันก็เลยมีการลองผิดลองถูกตามสไตล์เกม soulslike (แต่ไม่ยากเท่า อีกทั้งชุบชีวิตจากอีกตัวละครได้ไม่ได้ตายทันที)
PS5 PERFORMANCE
ด้วยความเป็น PlayStation 5 exclusive ต้องมาดูกันว่าผลงานที่ทำออกมานั้นเป็นอย่างไร สำหรับตัวเกมมีให้เลือก 3 โหมด Prioritize FPS, Prioritize Graphics, และ Ray Tracing (รวมถึงสามารถปรับละเอียดแต่ละจุดได้) ถึงแม้จะฟังดูดีแต่พอเล่นจริงแล้วทั้ง 3 โหมด รู้สึกไม่ค่อยต่างกันเลยเมื่อมองด้วยตา ผลก็คือว่าใช้แค่โหมด FPS ก็พอเพื่อให้เกมเพลย์มันลื่นไหลไม่หงุดหงิดในบางครั้ง
ในส่วนของจอย DualSense ซึ่งแสดงให้เห็นผลชัดมากกับแรงถีบปืน รวมถึงกิมมิคจาก Adaptive Trigger เวลากดรีโหลดกระสุนอีกด้วย
สรุป รีวิว Rise of the Ronin
Rise of the Ronin ถือเป็นก้าวสำคัญของ Team Ninja ที่มีแสดงให้เห็นการพัฒนาในแทบทุกด้าน ทั้งการออกแบบ Open-world ที่มีความกว้าง มีภารกิจเสริมที่เหมาะสมไม่เสียเวลา ในส่วนเกมเพลย์การต่อสู้ก็หลากหลาย ว่องไวอีกทั้งยังเข้าถึงมือใหม่ได้ง่าย แต่ก็มีจุดที่ทำให้มือเก๋าชอบได้เช่นเดียวกัน
โดยรวมแล้วผู้เขียนรู้สึกสนุกและเพลินที่ได้เล่น แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นเกมที่เหมาะกับผู้เล่นทุกคน ทั้งเกมเพลย์ หรือเนื้อหาบางส่วนที่อาจจะไม่ถูกใจใครไปบ้าง แต่ถือว่านี่คือหนึ่งในผลงานสไตล์ soulslike ที่ดีเกมหนึ่ง
ข้อดี:
- มีการเขียนเนื้อเรื่องที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับเกมอื่นๆ จากทีมพัฒนา Team Ninja
- ทางเลือกในบทสนทนามีผลต่อเนื้อเรื่องจริงๆ ไม่ใช่เลือกไปก็ได้ผลลัพธ์แบบเดิม
- เกมเพลย์มีความหลากหลายทั้งอาวุธและรูปแบบการต่อสู้
- มีความเป็น open-world ที่ดีเล่นได้สนุก ภารกิจเสริมคุ้มค่าที่จะเสียเวลาด้วย
- เล่นง่ายขึ้นเหมาะสำหรับมือใหม่ที่ไม่ใช่สาย soulslike
ข้อเสีย:
- หากใครเป็นสาย soulslike จ๋าๆ และคาดหวังว่าเกมจะยาก อาจจะผิดหวัง
- ต่อให้มีตัวละครหลักสองตัว แต่พอเล่นจริงแทบจะเล่นตัวเดียวตลอด แถมไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็ไม่ได้ทำให้บทพูด หรือเนื้อเรื่องเปลี่ยน รวมถึงเนื้อเรื่องบางส่วนยังติดขัด
- การปรับโหมดใน PS5 รู้สึกไม่แตกต่างในแต่ละโหมด
คะแนน: 8/10
คะแนน: 8.5/10 (สำหรับผู้เล่น Soulslike/ชอบความเป็นญี่ปุ่น)
Rise of the Ronin เตรียมวางจำหน่ายในวันที่ 22 มีนาคมนี้ เฉพาะบน PlayStation 5 สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ทางการ
อย่าลืมติดตาม Gamer555 เพื่อไม่พลาดข่าวสารเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
Discussion about this post