กำลังจะมาถึงแล้วกับส่วนเสริมที่ทุกคนรอคอย Shadow of the Erdtree ที่เราจะได้ไปสำรวจพื้นที่ใหม่ ศัตรูใหม่ เนื้อเรื่องใหม่ๆ ติดตามกันได้ใน รีวิว Elden Ring DLC Shadow of the Erdtree
ในรีวิวนี้เราจะพยายามไม่สปอยล์เนื้อเรื่องที่อยู่ภายในส่วนเสริม ดังนั้นจะเน้นไปที่เกมเพลย์และบอสเสียเป็นส่วนมาก แต่หากใครอยากสัมผัสบอสแบบเซอไพรส์ครั้งแรกแนะนำให้ข้ามบางส่วนของบทความเราได้
*อย่างที่ทุกคนรู้กันแล้วว่าการจะเล่น DLC นี้ได้ต้องเอาชนะ Starscourge Radahn และ Mohg, the Lord of Blood ซึ่งเป็นบอสเฝ้าหน้าทางเข้าแผนที่ DLC เสียก่อน ดังนั้นเคลียร์บอสทั้งสองตัวนี้ก่อนจะซื้อ DLC นะ
แผนที่
สำหรับขนาดแผนที่ใน DLC นั้นเมื่อได้ไปสัมผัสจริงๆ แล้วไม่ได้ใหญ่มากขนาดนั้น ถ้าให้เทียบก็จะประมาณ Limgrave รวมกับ Caelid เพียงแต่ว่ามันก็ยังใช้เวลาในการสำรวจนานเอาพอสมควรอยู่ดี เนื่องจากทางที่แคบ และเป็นเนินรวมถึงที่สูงจำนวนมาก ทำให้การเคลื่อนที่ได้ระยะทางไม่เยอะเนื่องจากเราต้องปีนแนวสูงร่วมด้วย
ตัวแผนที่จะมี fragments ซึ่งจะใช้สำหรับปลดล็อคโซนต่างๆ Gravesite Plain, Scadu Altus, Rauh Ruins และ Abyssal Woods
Gravesite Plain จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับ Limgrave โดยมีพื้นที่เป็นภูเขาสูงจำนวนมาก โดยตอนเริ่มต้นนั้น จะมีทางแยกให้เราสำรวจ ทางซ้ายจะเป็น Belurat, Tower Settlement ซึ่งจะพาเราไปหาบอสสิงโต ส่วนทางขวาจะเป็น Castle Ensis ที่มีบอส Rellana เฝ้าอยู่(บอสทั้งสองตัวได้รับการเปิดเผยตั้งแต่ต้นแล้ว) แต่ไม่ต้องคิดมากว่าจะไปทางไหนก่อนดีเพราะสุดท้ายตามเนื้อเรื่องเราต้องปราบทั้งคู่ลง
หลังจากที่เราปราบ Rellana ได้แล้วเราสามารถเข้าไปในพื้นที่ Scadu Altus ได้ ซึ่งจะมีสถานที่ย่อยอย่าง Cathedral of Manus Metyr และ Shadow Keep สำหรับมหาวิหารนั้นจะเป็นที่อยู่ของ NPC ที่มีบทบาทสำคัญ Count Ymir(ส่วนมีบทอย่างไรเราขอไม่สปอยล์ไว้ในที่นี้) ส่วน Shadow Keep คือพื้นที่ใจกลาง DLC ที่พาเราไปยังจุดต่างๆ ได้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะ Ruin of Rauh, Abyssal Woods หรือทางไปหาบอส Messmer ก็อยู่ในเขตนี้เช่นเดียวกัน
แม้ว่า Elden Ring จะเป็นเกม open-world ที่อยากทำอะไรก็ทำ ใน DLC ทีมงานเลือกที่จะทำให้เกมเพลย์มีความเป็ฯเส้นตรงมากขึ้น เพราะพื้นที่หลายจุดต้องปราบบอสบางตัวก่อนเพื่อปลดล็อคโซนถัดไปอย่างที่เราต้องปราบ Rellana เพื่อเข้าถึง Scadu Altas ก่อนเป็นต้น
หรือใครที่คิดพิเรนทร์หาทางอื่นเพื่อเข้าไปในพื้นที่ต่างๆ ยินดีด้วยถ้าคุณไม่ตาย เพราะทางทั้งหมดจะถูกปิดกั้นด้วยหินผาสูงชัน สลับกับพื้นที่โล่ง ทำให้ทางเดียวที่คุณจะเข้าพื้นที่โล่งซึ่งอยู่ถัดไปก็คือโดดลงมา และแน่นอนว่าตายคาที่อยู่ตรงนั้นแล้วกลับไปเกิดใหม่นั่นแหละ(แต่ไม่มีอะไรเกินแรงเหล่าผู้มัวหมองล่ะมั้ง สักพักต้องมีคนหาทางผ่านโดยไม่สู้กับบอสได้อยู่ดี แต่ไม่ใช่ผู้เขียนละคนนึง 555)
Cross
Miquella’s Crosses จะเป็นจุดที่ระบุว่า Miquella ได้ทิ้งเศษเสี้ยววิญญานไว้ตรงไหน โดยกางเขนเหล่านี้จะเผยเนื้อเรื่องต่างๆ ภายในเกมเมื่อเราทำการสำรวจไปเรื่อยๆ อีกทั้งบริเวณใกล้เคียงจะยังมีของให้เก็บอย่าง Scadutree Fragments รวมถึงวัสดุคราฟของแบบพิเศษดังนั้นอย่าเดินข้ามแล้วไม่สนใจของเหล่านี้ล่ะ
ระบบใหม่ๆ
Blessings
นอกจากการเพิ่มความแข็งแกร่งตัวละครแบบดั้งเดิมด้วยการเพิ่มเลเวลตัวละครแล้ว ใน DLC นี้เรายังสามารถหาไอเทมที่สามารถพัฒนาตัวละครของเราได้ อันได้แก่ Scadutree Fragments และ Revered Spirit Ashes โดยเมื่อเราไปพักผ่อนที่ Site of Grace จะทำให้เราปลดล็อคระบบ “Shadow Realm Blessing” ซึ่งเราสามารถนำไอเทมดังกล่าวเข้าไปใส่ในระบบนี้และได้บัฟเพิ่มขึ้นตามจำนวนที่ใส่ไป(แต่ว่าเราไม่สามารถพาบัฟพวกนี้กลับไปเกมหลักได้นะ)
- Scadutree Fragments
Scadutree Fragments ใช้สำหรับการเพิ่มเลเวล Scadutree Blessing โดยบัฟนี้จะเพิ่มพลังโจมตีและลดความเสียหายที่เราจะได้รับโดยคิดเพิ่มจากค่าพื้นฐานไม่นับเกราะหรืออาวุธที่เราใส่อยู่ ดังนั้นหากต้องการเอาชนะเหล่าบอสได้ง่ายขึ้นการเพิ่มเลเวล Scadutree Blessing ก็มีส่วนสำคัญพอตัวเลยทีเดียว
- Revered Spirit Ashes
Revered Spirit Ash blessing เป็นบัฟเหมือน Scadutree Blessing แต่กับเหล่าวิญญาน Spirit Ashes ซึ่งทำหน้าที่เหมือนกันแบบเป๊ะๆ
อุปกรณ์สวมใส่ใหม่
อาวุธ
สำหรับในส่วนเสริมใหม่นั้นมีการเพิ่มอาวุธประเภทต่างๆ เข้ามาอย่างมากมาย ถ้ารวมปริมาณแล้วก็เกิน 100 อันเลยทีเดียว โดยประเภทอาวุธที่เพิ่มมาได้แก่
- Beast Claws
- Great Katanas
- Hand-to-Hand Arts
- Light Greatswords
- Perfume Bottles
- Reverse-hand Swords
- Throwing Weapons
- Thrusting Shields
เรียกว่าการมีประเภทอาวุธเพิ่มมามากขนาดนี้ก็ทำให้เรามีทางเลือกในการเล่นเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และยังทำให้ได้ประสบการณ์เล่นแปลกใหม่จากเกมภาคหลักไปพร้อมกัน ตัวอย่างที่น่าสนใจเช่น Hand-to-Hand Arts หรือ Perfume Bottles ที่อย่างหลังเห็นอาวุธเหมือนจะมีมแต่เป็นอาวุธระยะไกลที่ไม่ต้องใช้ mana(ใช้ stamina แทน) เรียกว่าเป็นทางเลือกสำหรับคนชอบตีไกลแบบสุดๆ
นอกจากอาวุธแล้วยังมี Spirit Ashes แบบใหม่ เวทย์ใหม่ๆ รวมถึงไอเทมคราฟแบบใหม่อีกมากมายเช่นเดียวกัน
ตัวละคร
ใน DLC นี้เราจะได้รู้จักตัวละคครใหม่ๆ มากมาย ไม่ว่าจะอยู่ฝั่ง Messmer หรือ Miquella ซึ่งเหล่าตัวละครต่างๆ คือพื้นที่สำหรับเก็บเกี่ยวข้อมูลสำหรับสายเสพเนื้อเรื่อง แน่นอนว่าเราจะไม่สปอยล์จุดนี้ ไปหากันเองล่ะ
Bosses
สำหรับใครที่อยากรู้ข้อมูลด้วยตัวเองภายใน DLC ข้ามจุดนี้ไปได้เลย (แต่ว่าเราจะไม่ได้ลงรายละเอียด แค่บอกว่าบอสตัวไหนจะเจอที่ตรงไหน)
- Divine Beast Dancing Lion
สิงโตหรือคนเชิดสิงโตก็ไม่แน่ใจ Divine Beast Dancing Lion จะเป็นบอสตัวแรกๆ ที่เราจะได้เจอใน DLC นี้ โดยท่าโจมตีของบอสตัวนี้ก็จะมีการโจมตีด้วยธาตุต่างๆ แต่ความเก่งของบอสก็คือความเร็วที่ไวสุดๆ รวมถึงยังมีการกระโดดเว้นระยะห่างเพื่อโจมตีเราด้วยท่าระยะไกลอีกด้วย
- Rellana, Twin Moon Knight
บอสที่เป็นสมาชิกระดับสูงของกองกำลัง Messmer อีกหนึ่งบอสที่ถูกบังคับให้เคลียร์ในตอนเริ่มเกม ด้วยความแข็งแกร่งในการถือดาบยาวสองมือ แต่ดันมีพลังเวทย์ไฟช่วยโจมตีซ้ำอีกรอบ
- Ancient Dragon Man
บอสตัวสุดท้ายของเขต Dragon Pit
- Golden Hippopotamus
บอสเฝ้าประตู Shadow Keep
- Messmer the Impaler
บอสตัวสุดท้ายของเขต Shadow Keep
- Jori, Elder Inquisitor
บอสตัวสุดท้ายของเขต Darklight Catacombs ซึ่งเป็นทางไปต่อที่ Abyssal Woods
- Romina, Saint of the Bud
บอสตัวสุดท้ายของเขต Ancient Ruins of Rauh
- Bayle the Dread
บอสตัวสุดท้ายของเขต Jagged Peak
ความยาก
เมื่อพูดถึงเกม soulslike ความยากของตัวเกมต้องเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ไม่พูดถึงไม่ได้ และใน DLC นี้ทีมงานก็จัดเต็มมาแบบชัดเจน ในชั่วโมงแรกๆ ของการเล่นในขณะที่เรายังไม่ได้ปลดล็อคบัฟต่างๆ ชีวิตคุณจะเหนื่อยและลำบากเป็นพิเศษ อย่างการติดกับบอสสิงโตเป็นเวลา 4-5 ชั่วโมงก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา(ใช่ครับ ในทีมของเราผลัดกันโดนบอสกระทืบอย่างสนุกสนาน 555) แต่ว่าเหมือนการบาลานซ์บอสหลังจากนั้นจะตกไปหน่อย เพราะบอส Messmer ที่เป็นจุดขายของส่วนเสริมนี้ดันชนะได้แบบง่ายๆ เสียอย่างงั้น ไม่ใช่แค่ค่าพลังของเราที่เพิ่มขึ้น แต่ยังรวมถึงแพทเทิร์นการจู่โจมที่เหมือนจะอลังการแต่ดันอ่านทางง่าย เลยกลายเป็นบอสที่น่าผิดหวังไปแทน
ตัดฉากจากเหล่าบอสไปถึงเหล่าศัตรูธรรมดา ในส่วนเสริมนี้มีศัตรูพิเศษที่มีวิธีกำจัดไม่เหมือนตัวอื่น ซึ่งสร้างความลำบากในการเล่นเพิ่มขึ้น หรือแม้แต่ศัตรูธรรมดาในช่วงที่เรายังไม่ฟาร์มบัฟหรือของสวมใส่มากพอตัวเราก็ร่วงกันได้แบบง่ายๆ เลย ทำให้ตัวเกมไม่ได้มีช่วงผ่อนในการเดินสำรวจแผนที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกม soulslike ควรจะเป็น
สิ่งคล้ายคลึงกับภาคหลัก
ดินแดนแห่งเงานี้มีสิ่งใหม่ๆ มากมายที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะใหม่หมด(ใช่สิไม่งั้นก็เป็นคนละเกมแล้ว) ยังมีศัตรูหรือบอสตัวเล็กๆ บางตัวที่คุ้นเคยในแดนมัชฌิมาที่มาปรากฎตัวในดินแดนแห่งเงาเช่นเดียวกัน แต่แข็งแกร่งกว่าอย่างเช่น Ancient Dragon Senessax(เหมือน Ancient Dragon Lansseax แค่เปลี่ยนชื่อ) ที่มาขวางทางเราและบังคับสู้แบบเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งส่วนตัวมองว่าควรจะเป็นบอสรองที่เป็นทางเลือกมากกว่าที่จะบังคับสู้แบบนี้
โดยรวมนั้นระบบเกมที่เพิ่มเข้ามายังอยู่ในระดับส่วนเสริม ดังนั้นให้คนที่คาดหวังไว้สูงแบบโคตรสูงว่า Shadow of the Erdtree นั้นจะเป็น Elden Ring 2 หยุดความคิดแบบนี้ไว้เสียก่อน ไม่เช่นนั้นจะไม่สนุกเอา แต่สิ่งที่มีเพิ่มมาและสิ่งที่ยังคงเดิมอยู่ก็ผสมออกมาได้อย่างลงตัว
สรุป รีวิว Elden Ring DLC Shadow of the Erdtree
พูดกันแบบตามตรงในฐานะที่นี่คือ DLC เนื้อหาที่เสริมเข้ามานั้นมากมายเหลือล้น ขนาดที่ว่าผู้เขียนเล่นไปมากกว่า 20 ชั่วโมงก็ยังสำรวจได้ไม่ถึงไหน(อาจจะเพราะติดบางบอสนานด้วย 555) แม้ว่าแผนที่จะมีขนาดเล็กกว่าเกมหลักอย่างมาก แต่ว่าด้วยสภาพแวดล้อมก็ทำให้การสำรวจนั้นมีความท้าทายและใช้เวลาเพิ่มขึ้นกว่าปกติ ซึ่งทีมงานก็ฉลาดเลือกในการใส่ระบบบัฟที่อาศัยการฟาร์มและการสำรวจเพิ่มเข้ามา ทำให้ผู้เล่นอยากที่จะสำรวจพื้นที่มากขึ้น
ระบบใหม่ที่ใส่เข้ามาใน DLC ถือว่ามีอยู่อย่างเหมาะสม อาวุธใหม่ อุปกรณ์ใหม่ เวทย์ใหม่ หรือแม้แต่ Spirit Ashes ทำให้คนที่เล่นเกมหลักมาจนพรุนแล้วยังมีสิ่งต่างๆ ให้ทำอยู่อีกพอสมควร ส่วนบอสหลายตัวก็ออกแบบมาได้ดี มีความยากอยู่เช่นเดิม เพิ่มเติมคือมีแพทเทิร์นการโจมตีที่อ่านยากขึ้น แม้จะเข้าสู่ช่วงหลังๆ ที่เราเริ่มฟาร์มตัวละครได้ประมาณนึงแล้วเกมก็ยังมีความท้าทายอยู่
สรุปสุดท้ายโดยคนที่ไม่ใช่สาวก Soulslike แบบขนานแท้ DLC นี้คือ DLC ที่ควรค่าแก่การซื้ออย่างยิ่งหากใครมีตัวเกมหลักไว้ในครอบครองแล้ว ทั้งเกมเพลย์ กราฟฟิค ปริมาณเนื้อหาที่เยอะเพียงพอเรียกว่ามีข้อติน้อยมากจริงๆ
ข้อดี
- แผนที่เล็ก แต่ว่าอัดแน่นไปด้วยเนื้อหา
- บอสยังคงความยากดั่งเช่นเกมหลัก และมีแพทเทิร์นการโจมตีที่หลากหลายเพิ่มขึ้น
- ระบบการอัพเกรดตัวละครใหม่ๆ ที่เพิ่มมาใน DLC
- อุปกรณ์ อาวุธ, talismans, เวทย์, Ashes of War, Spirit Ashes ใหม่
ข้อเสีย
- การดำเนินเกมเป็นเส้นตรง และมีหลายจุดที่บังคับ ซึ่งสามารถปรับให้มีทางเลือกหลากหลายกว่าได้
คะแนน: 9.75/10
Elden Ring Shadow of the Erdtree DLC นี้เตรียมวางจำหน่ายในวันที่ 21 มิถุนายน 2024 บน PlayStation 5, PlayStation 4, Xbox Series X|S, Xbox One, และ PC(Steam)
อย่าลืมติดตาม Gamer555 เพื่อไม่พลาดข่าวสารเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
Discussion about this post