Dragon Age เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์เกมแนว RPG ที่มีแฟนคลับจำนวนมากทั่วโลกและเป็นที่ยกย่องซึ่งทำให้ชื่อของ BioWare โดดเด่น ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะจริงจังมากในการทำให้ Dragon Age: The Veilguard ดูน่าพอใจสำหรับแฟนๆและดึงดูดผู้เล่นใหม่ให้ลองเล่นแฟรนไชส์นี้
เรามีโอกาสได้ลองเล่นและ รีวิว Dragon Age: The Veilguard โลกในเกมจะพึงพอใจแฟนๆหรือไม่? หรือว่าจะดึงดูดผู้เล่นใหม่เท่านั้น? ดูกันได้ในรีวิวนี้
เนื้อเรื่องและการตัดสินใจมีความสำคัญมาก
ในเกม Dragon Age: The Veilguard เนื้อเรื่องยังคงมีลักษณะเน้นการเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวละคร แต่ในครั้งนี้ยังรวมเอาแนวคิดใหม่และความซับซ้อนทางจริยธรรมที่ลึกซึ้งมากขึ้น เรื่องราวถูกตั้งในโลกที่ต้องเผชิญกับผลที่ตามมาจากการกระทำของโซลัส ซากปรักหักพังของการพยายามควบคุมอำนาจของพระเจ้าชาวเอลฟ์ยังคงหลงเหลืออยู่ ซึ่งสร้างเรื่องราวที่มืดมนกว่าเดิมและกลับไปสู่รากเหง้าของซีรีส์ในการสำรวจประเด็นเรื่องอำนาจ การเสียสละ และการไถ่บาป
ตัวละครหลักของเรื่องคือผู้เล่น Rook ซึ่งเป็นตัวละครใหม่ที่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายที่เกิดจากความล้มเหลวของโซลัสในการควบคุมพระเจ้าของชาวเอลฟ์ โลกเต็มไปด้วยกองกำลังมืด โดยเฉพาะการปรากฏตัวของโรคระบาดที่กำลังเข้ายึดครองพื้นที่เช่น D’Meta’s Crossing ผู้เล่นจะตัดสินใจที่สำคัญซึ่งจะส่งผลต่อเนื้อเรื่อง ความสัมพันธ์กับตัวละครอื่นๆ และอาจเปลี่ยนแปลงอนาคตของTheda ได้
เกมนี้สำรวจประเด็นทางจริยธรรมอย่างแยบคายตลอดการภารกิจ มีการตัดสินใจเลือกตอบที่ส่งผลต่อเนื้อเรื่องตัวอย่างเช่น ในภารกิจใน D’Meta’s Crossing ผู้เล่นต้องเลือกว่าจะปล่อยให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่คอร์รัปถูกโรคระบาดกินจนตายเป็นการลงโทษ หรือจะให้เขามีโอกาสไถ่บาปและกลับมา? ช่วงเวลาเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจที่ซับซ้อนตามเอกลักษณ์ของ Dragon Age
อย่างไรก็ตาม ก็มีการวิจารณ์เกี่ยวกับการเขียนบทสนทนาซึ่งบางครั้งรู้สึกว่าอธิบายละเอียดมากเกินไป มีหลายช่วงที่ตัวละครทั้งพูดและทำซ้ำถึงเรื่องราวหรืออธิบายเกี่ยวกับตัวเลือกที่เราได้ทำไปแล้ว ทำให้รู้สึกเหมือนตัวละครกำลังพูดจาโดยไม่ค่อยสนว่าผู้เล่นได้ตอบอะไรไปจนเสียบรรยากาศภายในเกม
อย่างไรก็ตาม การปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมทีมถือเป็นไฮไลต์ การสนทนายังคงรักษาความลึกซึ้งทางอารมณ์และการเขียนที่น่าสนใจซึ่งผู้เล่น Dragon Age คุ้นเคยอยู่แล้ว
การพัฒนาตัวละครก็เป็นจุดเน้นที่สำคัญด้วย ผู้เล่นสามารถดูความสัมพันธ์ต่างๆ ทั้งแบบโรแมนติกและแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งเป็นที่คุ้นเคยจากเกมภาคก่อนๆ ที่การสร้างความสัมพันธ์กับตัวละครร่วมที่มีบทบาทสำคัญต่อเรื่องราว ภารกิจของเพื่อนร่วมทีมก็มีความโดดเด่น เนื่องจากมันจะส่งผลโดยตรงต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเกม
การสร้างตัวละครที่สมเหตุสมผล
Dragon Age: The Veilguard ขยายคุณสมบัติการสร้างตัวละครด้วยความละเอียดอ่อนมากมาย ผู้เล่นสามารถเลือกเล่นจาก 4 เผ่า ได้แก่ Elf, Qunari, Human และ Dwarf แต่ละเผ่ามีลักษณะเฉพาะ จากนั้นก็มี 3 อาชีพให้เลือก คือ Rogue, Warrior และ Mage
คุณสมบัติการปรับแต่งตัวละครยังรวมถึงรายละเอียดด้านกายภาพ เช่น สีผิว รูปร่างของใบหน้า รอยแผลเป็น รอยสัก และระบบผมที่มีกายภาพแบบไดนามิค ผู้เล่นยังสามารถเลือกเพศและ “ลักษณะการใชเรียก” ได้อิสระจากไม่ยึดติดกับลักษณะทางกายภาพ(บางคนคงไม่ชอบในจุดนี้) ส่วนประกอบอื่นๆ เช่นการแต่งหน้าและรอยสักที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมก็เพิ่มความลึกซึ้งให้กับลักษณะทางกายภาพของตัวละคร
นอกจากอาชีพและเผ่าแล้ว ผู้เล่นยังสามารถเลือกฝ่ายได้ Veil Jumpers, Grey Wardens, The Mourn Watch, Lords of Fortune, Antivan Crows หรือ Shadow Dragons แต่ละฝ่ายมีบทบาทสำคัญใน Thedas และอาจเป็นพันธมิตรที่เป็นประโยชน์ตลอดเรื่องราว การเลือกฝ่ายจะส่งผลต่อประวัติของ Rook ตัวเลือกในการสนทนา และอาจส่งผลถึงดุลยภาพของอำนาจในทวีปนี้ที่แตกแยกอยู่
การต่อสู้ที่เข้มข้น
การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่หลวงที่สุดของ Dragon Age: The Veilguard คือระบบการต่อสู้ที่เน้นฝั่งแอคชั่นมากกว่าเน้นการวางแผน เป้าหมายของทีมงานคือการสร้างประสบการณ์ที่มความรวดเร็วมากขึ้น เน้นการรวมเป็นคอมโบ คล้ายกับ RPG ยุคใหม่แทนการวางแผนสไตล์ดั้งเดิมของ Dragon Age: Origins และ Inquisition
เริ่มแรกผู้เขียนรู้สึกข้องใจเล็กน้อยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่ยิ่งเล่นนานเท่าไรก็ยิ่งชื่นชอบแนวทางใหม่นี้มากขึ้น การต่อสู้ในที่นี้รู้สึกลื่นไหลมากขึ้น โดยที่ยังมีองค์ประกอบด้านกลยุทธ์และรูปแบบเฉพาะของ Dragon Age ปรากฏอยู่
แต่ละอาชีพมีอาวุธที่สามารถใช้ตามอาชีพที่เลือก ตัวอย่างเช่น ถ้าเลือก Rogue คุณสามารถใช้ดาบคู่หรือธนู ส่วนผู้เขียนเลือก Warrior จึงสามารถใช้ดาบและโล่หรือขวานขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีทักษะเฉพาะ เช่น Reaper, Slayer หรือ Champion ซึ่งทำให้การต่อสู้หลากหลายเนื่องจากผู้เล่นสามารถเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ตามศัตรูที่พบ
เนื่องจากการเล่นที่ลื่นไหลมากขึ้น ผู้เล่นจึงต้องฉลาดในการจัดการคอมโบและทีม มีคอมโบหลายรูปแบบที่ตัวอย่างเช่น สามารถทำให้ศัตรูล้ม และเมื่อศัตรูเป็นแบบนั้น ผู้เล่นจะสามารถใช้ท่าไม้ตายซึ่งจะทำความเสียหายมหาศาล
อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นถูกจำกัดให้ใช้ทักษะที่ใช้ได้เพียง 3 สกิลและ 1 ท่าไม้ตายเท่านั้น สำหรับผู้ที่เล่น Inquisition อาจรู้สึกว่านี้จำกัดความคิดสร้างสรรค์ในการต่อสู้ ทั้งที่มีทักษะและตัวเลือกมากมายที่สามารถสร้างได้ แต่รู้สึกว่าเป็นการใช้ที่ไม่คุ้มค่าเนื่องจากใช้ได้เพียงไม่กี่สกิล ซึ่งส่วนตัวก็เห็นด้วยว่าทีมงานอุตส่าห์สร้างสกิลมาเยอะขนาดนี้แต่เอามาใช้ได้น้อยกลายเป็นออกแบบมาไม่คุ้มเลย
ระบบปาร์ตี้ได้รับการเปลี่ยนแปลงใน The Veilguard ด้วย จำนวนสมาชิกในทีมลดลงเหลือเพียงสามคน(นับผู้เล่น) ซึ่งช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครมีปฏิสัมพันธ์มากขึ้น เพื่อนร่วมทีมแต่ละคนมีความสามารถเฉพาะตัว ทำให้เกิดความหลากหลายในกลยุทธ์การต่อสู้ ส่วนตัวผู้เขียนชอบการเปลี่ยนแปลงนี้ การผสมผสานระหว่างแอคชั่นกับระบบปาร์ตี้และคอมโบที่พวกเขาสร้างขึ้น ทำให้การต่อสู้ทุกครั้งน่าตื่นเต้นและไม่น่าเบื่อ
ไม่ใช่เกม Open World
การสำรวจในเกม Dragon Age: The Veilguard เป็นฟีเจอร์หลักที่ผสานสภาพแวดล้อมที่สวยงามกับตำนานอันอุดมสมบูรณ แต่อย่าคาดหวังว่าจะเป็นเกม Open World อย่างเต็มรูปแบบเหมือน Inquisition เวลาเล่นทุกอย่างจะถูกชี้นำด้วยภารกิจ ผู้เล่นสามารถ fast travel และสำรวจแต่ละพื้นที่หรือภูมิภาคที่มีอยู่เพื่อหาของมีค่า ทำภารกิจเสริม และอื่นๆ
ผู้เล่นจะพบเหตุการณ์พิเศษ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์หรือสถานะของประชากรตามการกระทำของพวกเขา ตัวอย่างเช่น การปรากฏตัวของโรคระบาดสร้างสภาพแวดล้อมสุดอันตรายขณะที่ผู้เล่นสำรวจพื้นที่และดำเนินเนื้อเรื่องหลักของเกม
การสำรวจในเกมนี้ไม่ได้มีแค่การเดินอย่างเดียว ยังมีปริศนาให้แก้ไขด้วย ผู้เล่นสามารถใชสกิลพิเศษของเพื่อนร่วม เพื่อแก้ปริศนา สร้างแพลตฟอร์ม ซึ่งนำกลับมาสู่ความรู้สึกการแก้ปริศนาของเกมภาคก่อนๆ ทำให้การเล่นน่าตื่นเต้นและกระตุ้นให้ผู้เล่นสำรวจโลกอย่างละเอียด
ระบบการปรับแต่งความยากที่ใส่มาอย่างละเอียด
เกมนี้มีตัวเลือกการตั้งค่าความยากง่ายค่อนข้างยืดหยุ่น ถ้าคุณรู้สึกว่ายากเกินไปหรือแค่ต้องการความท้าทายเพิ่มขึ้น ผู้เล่นสามารถปรับองค์ประกอบต่างๆ ของความยากได้ เช่น เวลาในการ parry จำนวนเลือดศัตรู ความเสียหายของศัตรู และอื่นๆ อีกมากมาย
UI ก็สามารถปรับแต่งได้ เช่น ซ่อนหรือปิด HUD ทั้งหมด รวมถึงหลอดเลือกของ Rook ตัวติดตามเป้าหมาย แผนที่ย่อ คำบรรยายใต้ภาพก็สามารถปรับแต่งได้ทั้งขนาด ความทึบ ชื่อผู้ พูด และสี
ระบบความก้าวหน้า
ตัวละคร
เช่นเดียวกับ RPG ส่วนใหญ่ ผู้เล่นจะมีการเข้าถึง Skill Tree ที่ช่วยในการปรับแต่งสไตล์การเล่น แต่ละอาชีพจะมีทักษะและความเชี่ยวชาญที่เป็นเอกลักษณ์ ส่งเสริมให้ผู้เล่นออกแบบวิธีการต่อสู้ Skill Tree ยังหมายความว่าการตัดสินใจตั้งแต่เนิ่นๆ จะส่งผลอย่างมากต่อการเล่นของผู้เล่นในภายหลัง
ด้วยความที่ผู้เขียนเลือก Warrior จุดมุ่งหมายหลักในการบิ้วด์ตัวละครคือการใช้โล่และเพิ่มการป้องกัน อย่างไรก็ตาม Warrior สามารถใช้ขวานขนาดใหญ่เพื่อเน้นการโจมตีก็ได้ เป็นเรื่องขึ้นอยู่กับว่าแต่ละผู้เล่นต้องการสร้างตัวละครของตนอย่างไร ถ้ามีความมุ่งมั่นในปั่นเวล คุณสามารถลองปลดล็อกทุกอย่าง แต่บอกเลยว่าไม่ครบเพราะ skill tree มันโคตรกว้าง แต่เรากลับได้แต้มสกิลแค่แต้มเดียวเมื่อเลเวลเพิ่ม
นอกจากนี้ เพื่อนร่วมทีมแต่ละคนก็มีภารกิจส่วนตัวที่ไม่เพียงพัฒนาตัวละครของพวกเขา แต่ยังส่งผลต่อเรื่องราวโดยรวมและการพัฒนาของผู้เล่นด้วย การทำภารกิจเหล่านี้ให้สำเร็จอาจได้รับรางวัลที่ส่งผลต่อเกม รวมถึงอุปกรณ์ใหม่และแต้มสกิลเพื่อเสริมพลังให้เพื่อนร่วมทีม ทำให้เกมง่ายขึ้นในอนาคต
Equipment
ผู้เล่นสามารถเลือกอาวุธตามสไตล์การต่อสแต่ละคนตราบที่อาชีพนั้นอำนวย มีระบบการดรอปของที่มีระดับความหายาก ตั้งแต่ common ไปจนถึง unique เกราะก็มีประเภทตามน้ำหนัก แต่ไม่มีข้อจำกัดเฉพาะ ดังนั้นผู้เล่นจึงสามารถสร้างสรรค์ตามรูปแบบของตนโดยไม่ต้องคำนึงว่าสามารถใช้ได้หรือไม่ ทำให้เราไม่เบื่อมากนักในการฟาร์มแล้วรู้สึกว่าไม่คุ้มค่า
ระบบปรับปรุงอาวุธก็เจ๋งมาก เกมการันตีว่าช่วงท้ายนั้นจะมีอาวุธ unique แน่ๆ หากคุณได้อุปกรณ์เดิมหรือซื้อซ้ำ ไม่ว่าจะมาจากการดรอปหรือการซื้อ อุปกรณ์จะอัพเกรดระดับความหายากที่สูงขึ้นโดยอัตโนมัติ ดังนั้นถ้าฟาร์มมากพอก็ไม่เกลือแน่นอน
นอกจากนี้ เกมยังมีระบบตู้เสื้อผ้า เป็นฟีเจอร์เหมือนเครื่องแต่งกาย หากเสื้อผ้าของคุณดูไม่น่าดึงดูดแตมันดันโกง คุณสามารถใช้เครื่องแต่งกายทอยากให้แสดงมาปิดบังได้ทันที มีเครื่องแต่งกายให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะหาได้จากอุปกรณ์ที่พบ ซื้อจาก NPC ของแถมของขวัญพิเศษ หรือ DLC
NPC
NPC ที่สำคัญบางตัวจะขายของระดับ Unique หรือชุดแต่งกายสวยๆ แต่การจะซื้อของพวกนี้ได้นั้นก็ต้องทำการอัปเกรด NPC เสียก่อน ผู้เล่นต้องเก็บวัสดุบางอย่างและสร้างชื่อเสียงโดยการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ของพวกเขา ถึงแม้ว่าบางครั้งจะน่าหงุดหงิด แต่ระบบนี้ยังคงกระตุ้นให้ผู้เล่นพยายามหาชุดที่เก่งที่สุดไปด้วย
รายละเอียดของสภาพแวดล้อมที่ดี แต่…
Dragon Age: The Veilguard นำเสนอโลกที่เต็มไปด้วยฉากสวยงามและหลากหลาย ซึ่งให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่และมีเวทย์มนต์ของ Thedas ตัวอย่างเช่น Arlathan Forest สุดน่าทึ่งเพราะความงามอันลึกลับ พลังงานเวทย์มนต์ในป่านี้แสดงออกมาด้วยเอฟเฟกต์เช่น น้ำที่ไหลย้อนกลับ แต่นอกจากสภาพแวดล้อมที่สวยงามแล้ว ก็ยังมีพื้นที่มืดและถูกกัดกร่อนเนื่องจากอิทธิพลของโรคระบาด เช่นใน D’Meta’s Crossing ที่ผู้เล่นจะพบทิวทัศน์ที่เงียบเหงาและน่ากลัวอันเต็มไปด้วยภัยอันตราย
ถึงแม้ว่าองค์ประกอบของสภาพแวดล้อมเหล่านี้จะสนับสนุนเนื้อเรื่องในเกม แต่ก็มีบางอย่างที่ค่อนข้างน่ารำคาญ ตรงที่มองว่าภาพรวมในเกมนั้นค่อนข้างดูเป็นการ์ตูน สดใส และร่าเริง ซึ่งรู้สึกแตกต่างจาก Origins หรือแม้กระทั่ง Inquisition อย่างเห็นได้ชัด สำหรับผู้เล่นใหม่อาจไม่ใช่ปัญหา แต่สำหรับแฟนคลับเก่าแล้วจะรู้สึกค่อนข้างแปลก อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้วภาพเคลื่อนไหวก็ยังคงลื่นไหลและโอเค
ในส่วนของโมเดลตัวละคร ส่วนตัวแล้วคิดว่าไม่น่าสนใจเท่าไรนัก เอาตรงๆ ก็คือตัวละครฝั่งดีออกแบบมาได้เห่ยเอามากๆ เรียกว่าเล่นไปไม่อยากเห็นหน้าตัวพวกนี้เลย แต่สำหรับตัวร้ายโดยเฉพาะมังกร ส่วนใหญ่ดูเพอร์เฟกต์จนรู้สึกว่าทำไมไม่ทำให้เหมือนกันแบบนี้ทั้งสองฝั่ง
สรุป รีวิว Dragon Age: The Veilguard
Dragon Age: The Veilguard มีส่วนผสมของเรื่องราวที่ซับซ้อนและการต่อสู้แบบเร้าใจแม้จะไม่สมบูรณ์แบบ เนื้อเรื่องนั้นเต็มไปด้วยช่วงเวลาที่ลึกซึ้งของตัวละคร การตัดสินใจที่ยากลำบาก และระบบปาร์ตี้ ทั้งหมดในโลกที่กำลังเผชิญกับความปั่นป่วนจากการกระทำของ Solas การพัฒนาตัวละครและความสัมพันธ์นั้นแสดงถึงเอกลักษณ์ที่แท้จริงของ BioWare แต่ในบางจุด เนื้อหาการเล่าเรื่องก็ค่อนข้างอธิบายเยิ่นเย้อมากเกินไป จนรบกวนความไหลลื่นของเนื้อเรื่องแทน
ในส่วนของเกมเพลย์ การเปลี่ยนไปเน้นฝั่งแอคชั่นจ๋าๆ ในการต่อสู้นั้นเป็นทางเลือกที่ดูแปลกใหม่ ทำให้การเล่นลื่นไหลเหมาะกับยุคสมัย มีอาวุธ อาชีพ และแถบสกิลให้เลือกมากมาย ดังนั้นคุณจึงมีทางเลือกมากมายในการปรับแต่งสไตล์การต่อสู้ของคุณ ถึงแม้จะมีหลายจุดที่น่าเสียดายที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม รูปแบบภาพสดใส แบบการ์ตูน และโมเดลตัวละครที่ไม่น่าประทับใจอาจทำให้แฟนคลับรู้สึกผิดหวัง บรรยากาศมืดครึ้มและการต่อสู้แบบ tactical combat ของเกมภาคก่อนๆ ก็หายไปอย่างสิ้นเชิงจนรู้สึกต่อไม่ติด แต่โดยรวมแล้ว เกมนี้ก็ยังคงมีจุดที่น่าสนใจทั้งเกมเพลย์ การพัฒนาตัวละคร เนื้อเรื่องลุ่มลึกที่มาพร้อมการตัดสินใจที่ส่งผลต่อเกม
ข้อดี
- ระบบ Companion มีปฏิสัมพันธ์ชัดเจน
- ระบบการสร้างตัวละครละเอียด แก้ไขได้มหาศาล
- ระบบการต่อสู้แบบใหม่ที่น่าสนใจ
- เนื้อเรื่องลุ่มลึก ละเอียด
- กราฟฟิคโดยเฉพาะสภาพแวดล้อมยอดเยี่ยม
ข้อเสีย
- ใช้สกิลได้น้อยกว่าที่ควร
- บทสนทนาของตัวละครทำให้ดูเหมือนทางเลือกที่เราเลือกไม่มีผลต่อเกม
- เกมเพลย์ งานภาพไม่ค่อยตอบสนองต่อกลุ่มผู้เล่นเก่า
คะแนน 8/10
Dragon Age: The Veilguard จะวางจำหน่ายในวันที่ 31 ตุลาคม 2024 สำหรับ PlayStation 5, Xbox Series และ PC ผ่าน Steam และ Epic Games Store สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่เว็บไซตทางการ
อย่าลืมติดตาม Gamer555 เพื่อไม่พลาดข่าวสารเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
Discussion about this post