เรียกน้ำย่อยกันไปเยอะแล้วสำหรับ Marvel’s Spider-Man 2 ที่เป็นการพัฒนาต่อจากภาคแรกมาลงแบบ exclusive ให้กับคอนโซลเจนใหม่อย่าง PlayStation 5 ต้องขอขอบคุณทาง Sony Interactive Entertainment ที่ให้ตัวเกมเรามาก่อนวางจำหน่ายดังนั้นไปดูกันเลยว่าใน รีวิว Marvel’s Spider-Man 2 นี้จะเป็นอย่างไรกันบ้าง
เนื้อเรื่อง
สำหรับเนื้อเรื่องในภาคต่อ เรียกได้ว่าเป็นการเล่าอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะไม่เสียจังหวะในการเล่น โดยจะเป็นช่วงเวลาหลังเหตุการณ์การได้เป็น Spider man ของ Miles Morales 9 เดือนและได้มาทำงานร่วมกับ Peter Parker ในฐานะ Spiderman
สำหรับเนื้อหาของแต่ละตัวละครก็จะมีปมต่างกันออกไป สำหรับ Peter ซึ่งเราจะได้กลับมาที่บ้านของเขาบ่อยๆ เนื่องจากตัวเขายังต้องเผชิญกับความสูญเสียป้าเมย์ พร้อมกับเหล่าเพื่อนๆ รอบตัวที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่าง Harry Osborn ที่ยังมีปัญหาสุขภาพต่อเนื่องมาจากภาคแรก
นอกจากเรื่องเพื่อนรอบตัว Peter ยังมีปัญหากับ symbiote และตัวร้ายหลักในภาคนี้อย่าง Kraven the Hunter ในส่วนของ Miles ตามสไตล์เด็กจบ high school ตัวเขาเองยังไม่รู้จะไปต่อทางไหน ทั้งการปกป้องเมืองทั้งชีวิตส่วนตัว รวมทั้งการแก้แค้นการตายของพ่อเขาซึ่งอาจจะผิดหลักในการเป็นฮีโร่
หากพูดถึงเนื้อเรื่องต่อไปจะเป็นการสปอยล์นอกเหนือจาก trailer ที่เคยปล่อยออกมาดังนั้นเราจะข้ามส่วนนี้ไปแต่สรุปก็คือ Insomniac ทำเนื้อเรื่องออกมาได้ดีบาลานซ์ส่วนที่ทั้ง Spider man ทั้งสองคนก็เป็นคนธรรมดา กับอีกส่วนที่เป็นฮีโร่ที่ต้องเผชิญเหล่าวายร้าย รวมทั้งตัวเนื้อเรื่องแต่ละส่วนก็ไม่ยืดยาวกระชับและทำออกมาได้ต่อเนื่อง
เกมเพลย์
โดยสรุปคร่าวๆ ก่อนลงรายละเอียด Insomniac Games ทำออกมาได้โคตรยอดเยี่ยมในฐานะภาคต่อที่พัฒนาสิ่งต่างๆ ไปมากมาย
อย่างที่รู้กันผู้เล่นสามารถเล่น Spider man ได้ถึง 2 คนด้วยกันทั้ง Miles Morales และ Peter Parker ที่ทำให้เกมเพลย์มีความหลากหลายและเราจะรู้ความเปลี่ยนแปลงของตัว Peter เองเมื่อมีคู่หูที่มีวิธีการต่อสู้แตกต่างไปจากตัวเขา
ข้อดีของเกมนี้ก็คือการสลับเปลี่ยนระหว่าง Spider man ทั้งสองคนนั้นทำได้ลื่นไหล เรียกว่าอยากกดเปลี่ยนรัวๆ (ถ้าทำได้) เพราะว่าฉากเปลี่ยนตัวมันช่างเท่เหลือเกิน
ในส่วนของเกมเพลย์ นอกจากเนื้อเรื่อง ภารกิจหลัก และสกิลให้ปลดล็อคตามที่เคยมีในภาคแรก ยังมีภารกิจเสริม อุปกรณ์ที่ช่วยต่อสู้ ซึ่งการเปลี่ยนไปมาระหว่างสองตัวละครก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องมานั่งเรียนท่าใหม่ เพราะปุ่มสำคัญๆ ยังอยู่เหมือนเดิม ดังนั้นหน้าที่ของปุ่มเดิมก็จะทำคล้ายๆ เดิมต่างกันที่รายละเอียดปลีกย่อยซึ่งเราจะไปพูดถึงในส่วนต่อไป
อีกส่วนที่ทำให้ดูสมจริงก็คือในเมื่อสร้างตัวละครสองตัวเป็นตัวหลักทั้งคู่ เวลาทำภารกิจร่วมกันก็จะมีโอกาสที่จะมีอีกคนโผล่มาในฉากของเรา ซึ่งอยากให้เกมที่มีตัวละครหลักหลายคนทำเช่นนี้บ้างในอนาคต
ระบบการต่อสู้
สิ่งที่ชอบที่สุดของความต่างระหว่างภาคแรกกับภาคสองคือระบบการต่อสู้ สำหรับ Miles การต่อสู้จะว่องไว ลื่นไหลกว่า ในขณะที่ทางฝั่ง Peter จะเป็นสายใช้พลังตรงๆ เน้นกำจัดศัตรูแบบตรงไปตรงมาพร้อมกับเทคนิคที่เพิ่มขึ้นจากชุด Symbiote ซึ่งทางทีมงานทำออกมาได้ยอดเยี่ยมในการพัฒนาการต่อสู้ของ Peter เพราะว่าสไตล์การต่อสู้ของ Miles นั้นดูโดดเด่นกว่ามากถ้าจะเอา Peter ในเกมภาคแรกมาเทียบ พอเป็นแบบนี้จะทำให้ผู้เล่นสามารถเลือกสลับตัวละครทั้งสองได้โดยไม่มีความรู้สึกว่าอยากเล่นอีกตัวมากกว่า
อีกหนึ่งอย่างที่เสริมเข้ามาคือระบบ parry ซึ่งคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับสาวกเกม action ซึ่งมีระบบช่วยเหลือโดยเป็นสีเวลาโจมตีของศัตรุโดยระบบนี้เหมาะกับศัตรูตัวใหญ่ที่ตัวเราต้องหาโอกาสในการจู่โจม ซึ่งเพิ่มทิศทางการเล่นในเกมแทนที่จะหลบอย่างเดียวแบบภาคแรก รอบนี้เราสามารถเลือกสไตล์การต่อสู้ได้ ทำให้มีวิธีการต่อสู้มากขึ้นในแต่ละสถานการณ์
ไม่ใช่แค่ระบบ parry เท่านั้นการอัปเกรดที่พูดถึงไปก่อนหน้าไม่ได้มีแค่สกิลตรงๆ แต่ยังมีการอัปเกรดชุดของ Peter ที่มีอาวุธไฮเทคทั้งแขนพิเศษ ปืนไฟฟ้า หรืออื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้เกมเพลย์เปลี่ยนแปลงไปในการต่อสู้และดูดุดันยิ่งกว่าเดิมด้วย หรืออีกส่วนก็คือชุด Symbiote ที่ดุดัน รุนแรง พร้อมกับสกิลแยกของชุดอีกที ทำให้เราเหมือนได้ตัวละครเพิ่มมาโดยที่ไม่ได้กระทบต่อความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่องเลยแม้แต่น้อย
ในเกมยังมีระบบเกจการต่อสู้ที่จะปลดล็อค powered-up state ที่สามารถสะสมได้จากการโจมตีศัตรูสำหรับ Peter จะเรียกว่า Symbiote Surge ที่จะเพิ่มพลังโจมตี และสกิลที่ว่องไวขึ้น ในส่วนของ Miles ที่เกมทำไม่ได้น้อยหน้ากว่า Peter เพราะว่ามีเกมเพลย์การต่อสู้สองรูปแบบจาก bioelectric Venom คนละสีซึ่งจะให้ผลต่างกัน ทำให้เหมือนมีตัวละคร 4 ตัวในเกมเดียว
แต่เกมเพลย์การต่อสู้ภาคนี้อาจจะไม่ใช่สายทุบปุ่มสักเท่าไหร่ เพราะท่าจะมีคอมโบและการเลือกใช้สกิลที่เหมาะสม
สกิล อุปกรณ์ และชุดแมงมุม
Miles และ Peter จะพัฒนาความสามารถในเกมไปพร้อมๆ กันเพราะว่าเราสามารถเปลี่ยนไปเล่นตัวละครไหนก็ได้เกือบจะตลอดเวลาภายในเกม และถึงแม้ว่าผู้เล่นจะเลือกเล่นตัวละครเพียงตัวเดียวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ตัวค่าประสบการณ์ที่เอาไปพัฒนาสกิลก็จะได้ร่วมกัน โดยเฉพาะพวกสกิลพื้นฐานที่แชร์กัน ที่เหลือจะเป็นความต่างเรื่องชุด perk พิเศษซึ่งอยากให้แต่ละคนไปศึกษากันเพิ่มเติมภายในเกม
ส่วนภารกิจเสริมตามที่บอกไปข้างต้น จะมีภารกิจพิเศษที่ทำให้เราได้รับเทคโนโลยีมาอัปกรดอุปกรณ์ หรือสกิลของชุดใหม่ๆ ซึ่งทำให้อยากแวะไปฟาร์มนอกเนื้อเรื่องมากขึ้น
แต่สำหรับคนที่รักพี่เสียดายน้องเวลาเล่น (เพราะว่าตัวละครหนึ่งมี 2 สไตล์) เกมก็เปิดโอกาสให้ได้เล่นผสมกันได้ ด้วยความที่มีสกิล 4 slot ดังนั้นเราสามารถผสมสกิลจากรูปแบบที่แตกต่างได้ อย่างเช่นเอาสกิลสาย symbiote มา 2สกิล ผสมกับ Iron Spider อีก 2สกิล แล้วแต่การวางแผนและสไตล์การเล่นของผู้เล่นเอง
ซึ่งด้วยความหลากหลายของสกิล อุปกรณ์เสริม และอื่นๆ อีกมากมายที่เพิ่มเข้ามาทำให้ใน Spider-Man 2 การต่อสู้ค่อนข้างมีแบบแผนมากกว่าการเอาหมัดไปทุบแบบตรงๆ ถือว่าได้ความสนุกไปอีกแบบ หรือจะไม่แคร์เรื่องอุปกรณ์แล้วลงไปนัวกับศัตรูแบบเก่าๆ ก็ทำได้เช่นกัน
ศัตรูภายในเกม
ศัตรูในเกมนี้มีหลากหลายโดยที่มากที่สุดจะเป็นลูกน้องของ Kraven the Hunter ซึ่งถึงแม้จะเป็นกลุ่มเดียวกัน ลักษณะของศัตรูก็มีอยู่หลากหลายภายในกลุ่ม ทั้งการใช้หุ่นยนต์อย่าง Drone โจมตีระยะไกล หุ่นหมาป่าที่มีความสามารถในการปล่อยคลื่นที่ทำให้เราใช้สกิลไม่ได้ หรือศัตรูอื่นๆ ทที่เป็นประเภทมนุษย์ที่มีอาวุธต่างกันทั้ง ระเบิด แหไฟฟ้า ปืนปกติ มีดบิน หรือโล่
นอกจากนี้ยังมีศัตรูที่เป็นกลุ่มลัทธิบูชาไฟ ที่สามารถยิงลูกไฟใส่เราได้
ส่วนอีกศัตรูที่น่าจะลงดีเทลไม่ได้อย่าง symbiotes เพราะเดี๋ยวจะสปอยล์ 555
ระบบ Stealth
ระบบ Stealth ก็ถูกพัฒนาให้ดีขึ้นเช่นเดียวกัน ด้วยการที่ตัวละครสามารถปีนป่าย หรือเดินบนพื้นที่แคบมากกว่าปกติ (อย่างเชือก) ทำให้เราสามารถกำจัดศัตรูได้โดยที่ไม่ต้องรอศัตรูเดินเข้ามาในจุดที่กำหนด แต่สามารถสร้างพื้นที่ลอบสังหารได้เองตามความถนัดของผู้เล่น ส่วน AI ก็ไม่ได้โง่แต่ว่าจะ alert ถ้าเห็นเพื่อนของตัวเองดึงหายแบบต่อหน้าต่อตา หรือถูกใยยิงไปมุมที่มองเห็นได้ ซึ่งทำให้สมจริงมากขึ้น
โลกภายในเกม
ในส่วนของเกมเพลย์ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมแล้ว แต่ว่าที่เป็นตัวขโมยซีนเลยคือสภาพแวดล้อมภายในเกม ทั้งพื้นที่เล่นที่กว้างขึ้นเป็นเท่าตัวของภาคก่อน ย่านต่างๆ ใน New York ที่เปิดให้เราสามารถเข้าไปเล่นได้แสดงถึงความแตกต่างด้านการใช้ชีวิตในแต่ละโซนอย่างชัดเจน
และการสำรวจแผนที่ทั้งหมดก็จะเป็นการบังคับให้ผู้เล่นทำความรู้จักตัวละครทั้งสองตัว เพราะจะมีเขตหรือภารกิจที่มีเพียงแค่ตัวละครตัวใดตัวหนึ่งสามารถทำได้ พร้อมกับภารกิจสายสำรวจอย่าง Photo ops challenges ที่ต้องถ่ายรูปจุดต่างๆ ในเมือง
เวลาสำรวจเมืองนอกจากภารกิจหลัก ภารกิจเสริมแล้ว ยังมีเหตุการณ์พิเศษปรากฎออกมาเรื่อยๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวาของคนนิวยอร์ก และก็เป็นหน้าที่ของ Spider man ที่ต้องเข้าไปช่วยเหลือ
การเดินทางไปยังจุดต่างๆ
เกมเพลย์ที่บอกว่านี่คือ Spider Man ก็คือการโหนใยไปยังจุดต่างๆ ของเมือง ซึ่งในภาคนี้นอกจากการโหนแบบคลาสสิคแล้วยังมีการเพิ่มการร่อนออกมาในชุดของทั้งสองตัวละคร
สำหรับระบบการร่อน หรือ Web Wings จะสามารถทำให้เราบินไปในพื้นที่ต่ำได้ไวกว่าปกติ เพิ่มความหลากหลายของวิธีการไปยังจุดต่างๆ ให้รวดเร็วทันเวลา(มีภารกิจเสริมที่ต้องแข่งกับเวลาด้วย)
แต่การร่อนก็ไม่ได้ทดแทนการโหนใยตามปกติไปเสียหมด ทางเกมยังสร้างจุดที่ต้องใช้ใยโหนตามปกติ ดังนั้นในแต่ละสถานการณ์จึงต้องใช้ทางเลือกในการเดินทางต่างกัน หรือใช้ผสมกันเพื่อความสนุกสนานส่วนตัวก็ได้ ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนชอบที่ทาง Insomniac ไม่ได้ทำให้การเดินทางรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเด่นกว่าอีกอย่างมากเกินไป ผลสุดท้ายเราก็จะใช้ทั้งคู่ในการเดินทางนั่นเอง
กราฟฟิค
Spider-Man 2 มีงานภาพที่สวยงามซึ่งดึงให้ตัวสภาพแวดล้อมภายในเกมโดดเด่นออกมา ในส่วนของโมเดลตัวละครก็ทำออกมาได้สมจริงมากขึ้นไม่ว่าจะฉากพูดปกติ ฉากคัทซีน ทำให้เรารู้สึกอินไปกับเกมมากขึ้น(ที่สำคัญคือไม่ต้องแปล)
ขยายความในส่วนของสภาพแวดล้อมทีมงานทำออกมาได้ใส่ใจสุดๆ ด้วยพลังของตัวเครื่องที่มี เรียกว่าร้านรวงบนถนนที่ดูเป็นส่วนประกอบฉาก มีดีเทลที่ละเอียดแทบทุกจุดเลยทีเดียว
ในส่วนของประสิทธิภาพตัวเกมก็ทำออกมาไม่เป็นปัญหาทั้ง Performance หรือ Visual mode
สรุป รีวิว Marvel’s Spider-Man 2
สรุปโดยรวมคือถ้ามาหาจุดติ แทบจะหาไม่ได้ทั้งเนื้อเรื่อง ระบบเกมเพลย์ ทุกอย่างภายในเกมออกแบบมาอย่างดี
บางคนอาจจะคิดว่าตัวเกมไม่ต่างกับภาคแรกมากแค่ภาพสวยขึ้น แผนที่ใหญ่ขึ้น แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ ในเกมก็จะพบสิ่งที่ทีมงานใส่เสริมเติมแต่งเข้ามาเรื่อยๆ ในทุกจุด และคิดว่านี่แหละคือเกม superhero ที่ดีและหากใครอยากจะทำเกมควรทำให้ได้ระดับนี้หากเป็นเกม AAA
และตัวเกมยังบาลานซ์ทั้งความสนุกในการเล่น และการเล่าเนื้อเรื่องให้อินไปกับตัวละคร ซึ่งทำให้คนเล่นรู้สึกคุ้มค่าที่รอมา 5 ปี (อาจจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทำภาคต่อแต่ละภาคในอนาคต)
ดังนั้นสรุปเลยก็คือควรซื้อ Day one หากคุณเป็นสาวก Spider Man อยู่แล้วเพราะเกมทำออกมาได้ยอดเยี่ยม แถมยังมีภาษาไทยรองรับในเกมอีก
ถ้าจะติจริงๆ คงเป็นเรื่องที่ว่าเกมยังมีบัคเล็กๆ น้อยๆ อย่างขอทะลุกำแพงหรือพื้น ฉากคัทซีนบางฉากทำออกมาได้แย่(ไม่สปอยล์ว่าฉากไหน) ภารกิจเสริมที่เล่นไปเยอะๆ แล้วจะซ้ำเดิม(แต่คุณต้องเล่นเยอะจริงๆ) รวมทั้งเกมอยู่ดีๆ ก็ดับไปบางครั้งซึ่งวันจริงที่วางจำหน่ายน่าจะมีแพทช์แก้ออกมาอย่างแน่นอน
ข้อดี
- เนื้อเรื่องทำออกมาดี ครบถ้วน กระชับ
- ระบบการต่อสู้พัฒนาและทำออกมาได้สนุก
- ตัวละครหลักทั้ง 2 ตัวมีความแตกต่างกันชัดเจน
- ระบบการเดินทางทั้งการบิน การโหนใยทำออกมาได้สนุกทั้งคู่ไม่ด้อยกว่ากัน
ข้อเสีย
- เกมเวอร์ชั่นทดสอบมี crash ได้ (คาดว่าเวอร์ชั่นวางจำหน่ายไม่น่าเกิดปัญหา)
- ภารกิจเสริมทำไปนานๆ จะซ้ำ และง่ายเกินไป
- อนิเมชั่นของตัวละครในคัทซีนบางฉากทำออกมาได้แย่
คะแนน 9.5/10
ขอบคุณทาง Sony Interactive Entertainment สำหรับตัวเกมล่วงหน้าที่ทำให้เกิด รีวิว Marvel’s Spider-Man 2 นี้ขึ้นได้
Marvel’s Spider-Man 2 เตรียมวางจำหน่ายในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ exclusive บน PlayStation 5 เท่านั้น Preorder ได้แล้ววันนี้ที่ playstation
อย่าลืมติดตาม Gamer555 เพื่อไม่พลาดข่าวสารเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
Discussion about this post