Gamer555
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับเรา
  • เว็บไซต์อื่นของเรา
    • GamerBraves
    • Wanuxi
    • Gamer Santai
    • GamerWK
No Result
View All Result
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับเรา
  • เว็บไซต์อื่นของเรา
    • GamerBraves
    • Wanuxi
    • Gamer Santai
    • GamerWK
No Result
View All Result
Gamer555
No Result
View All Result

รีวิว Clair Obscur: Expedition 33 เกมระดับ AAA แรกของค่ายที่เปิดตัวได้อย่างยอดเยี่ยม

Norrachai Anansakdakul by Norrachai Anansakdakul
2 months ago
in Playstation, Xbox, ทั้งหมด, รีวิว, รีวิวเกม, เกมพีซี
Reading Time: 5 mins read
0 0
รีวิว Clair Obscur: Expedition 33 เกมระดับ AAA แรกของค่ายที่เปิดตัวได้อย่างยอดเยี่ยม
Share on FacebookShare on Twitter

เริ่มตั้งแต่สัปดาห์นี้ Sandfall Interactive ร่วมกับ Kepler Interactive พร้อมปล่อยเกมแรกของพวกเขาอย่าง Clair Obscur: Expedition 33 อย่างเป็นทางการ หลังจากเปิดตัวครั้งแรกในงาน Xbox Game Showcase เมื่อปีที่แล้ว เกมนี้ก็ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามทันที ด้วยคุณภาพด้านงานภาพที่โดดเด่น รวมถึงระบบการเล่นแบบเทิร์นเบสที่ดูน่าทึ่งจนหลายคนจับตามองว่ามันอาจกลายเป็นเกม RPG ระดับพิเศษ หากสามารถถ่ายทอดแนวคิดของตัวเองออกมาได้อย่างที่ตั้งใจ

หลังจากได้ทดลองตัวอย่างเกมช่วงพรีวิวไปหลายชั่วโมง ทีมงานของเราก็มีโอกาสได้เข้าถึงเวอร์ชันเต็มของเกมเช่นกัน ซึ่งครั้งนี้ทาง Bandai Namco เป็นผู้จัดจำหน่ายที่มอบโอกาสนี้ให้

Related Posts

พรีวิว Sonic Racing: CrossWorlds – การปรับแต่งที่ไร้ขีดจำกัด

บทสัมภาษณ์ SHINOBI: Art of Vengeance กับ ผู้กำกับ Takaharu Terada และ โปรดิวเซอร์ Toru Ohara

คำถามคือ Clair Obscur: Expedition 33 สามารถตอบรับกระแสความคาดหวังที่สูงลิ่วได้หรือไม่? และมันมีศักยภาพมากพอจะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดแห่งปีหรือเปล่า? ไปอ่านได้ใน รีวิว Clair Obscur: Expedition 33 นี้ได้เลย

เนื้อเรื่อง

Clair Obscur: Expedition 33 เป็นเกมที่มีโครงสร้างรากฐานแบบ JRPG และให้ความสำคัญกับ “เนื้อเรื่อง” อย่างมาก ตัวเกมดำเนินเรื่องในเมืองที่ชื่อว่า Lumière ซึ่งอนาคตกำลังถูกคุกคามโดยบุคคลลึกลับที่รู้จักกันในชื่อ “Paintress” หญิงสาวคนนี้จะค่อย ๆ ลบตัวเลขที่สลักอยู่บนหินศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งตัวเลขนั้นเป็นตัวบอกการสิ้นสุดของ “วัฏจักร” หนึ่ง ๆ เกมเริ่มต้นในช่วงที่เลข 34 กำลังจะหมดลง หมายความว่าชาวเมืองทุกคนที่มีอายุครบ 34 ปีจะต้องตาย และเมื่อวัฏจักรใหม่เริ่มขึ้น Gustave พระเอกของเรื่อง และทีมของเขาจึงต้องออกเดินทางสู่ดินแดนของ Paintress เพื่อพยายามทำลายวงจรอันโหดร้ายนี้ให้ได้

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา มีการส่งทีมออกเดินทางแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่เคยมีใครกลับมาพร้อมกับชัยชนะ และยิ่งผ่านไป ความหวังก็ยิ่งริบหรี่ ผู้คนเริ่มใช้ชีวิตภายใต้เงาของความตาย หากไม่มีใครหยุดวงจรนี้ได้ เมือง Lumière จะเหลือเพียงเด็ก ๆ เท่านั้น และเมื่อไม่มีผู้ใหญ่เหลืออยู่ การเอาตัวรอดจะยิ่งเป็นไปไม่ได้

สิ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องของเกมนี้น่าสนใจ คือการสำรวจมุมมองของตัวละครในโลกที่ถูก “ตีตราความตาย” ตั้งแต่แรกเกิด บางคนยอมรับชะตากรรมของตัวเอง บางคนไม่กล้ามีลูกเพราะกลัวทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียว บางคนสิ้นหวัง ในขณะที่บางคนก็ยอมรับและเผชิญหน้ากับความตายอย่างกล้าหาญ ตัวเกมนำเสนออารมณ์เหล่านี้ได้อย่างทรงพลังในช่วงเปิดเรื่อง

ความลึกของเนื้อหายิ่งเพิ่มขึ้น เมื่อรู้ว่า ทีมสำรวจ ไม่ได้รับการยอมรับจากชาวเมืองเท่าไร หลายคนมองว่าทีมสำรวจนั้น “เปลืองทรัพยากร” และ “เสียเปล่า” เพราะทุกคนก็จบลงด้วยความตาย การได้ค้นหาความจริงในโลกของเกมจึงน่าสนใจมาก แม้จะมีบางจุดที่ยังค่อนข้างสับสน เช่น อุปกรณ์ใหม่ของ Gustave ที่อยู่ ๆ ก็โผล่มา หรือการกระโดดเข้าสู่ภารกิจแทรกซึมทันที โดยยังไม่ปูพื้นแผนชัดเจน (ซึ่งน่าจะมาจากตัวละคร Lune)

ตัวเกมเหมือนจงใจเล่าเรื่องแบบ “ให้ผู้เล่นค่อย ๆ ปะติดปะต่อเอง” ผ่านบทสนทนาและสิ่งแวดล้อมโดยไม่อธิบายมากเกินไป แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ไม่มีระบบ “glossary” หรือ “บันทึกย่อ” ให้ย้อนดูประวัติตัวละครหรือเหตุการณ์หลัก ทำให้หลงทางหรือพลาดรายละเอียดสำคัญได้ง่าย

อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่า ประสบการณ์โดยรวมยังคงดีมาก เพราะเนื้อเรื่องค่อย ๆ ดำเนินไปอย่างมีจังหวะ พร้อมด้วยบทสนทนาที่มีชีวิตชีวาและเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะการแสดงเสียงที่ดีเยี่ยมจนรู้สึกเหมือน “กำลังดูนักแสดงจริง ๆ มากกว่าตัวละครในเกม

ระบบการต่อสู้

อย่างที่เคยพูดไว้ในพรีวิว Clair Obscur: Expedition 33 มาพร้อมระบบการต่อสู้ที่ออกแบบมาอย่างประณีตมาก แม้ดูเผิน ๆ จะคล้ายกับเกม JRPG ทั่วไป โดยคุณสามารถเลือกคำสั่งพื้นฐานอย่างการโจมตีธรรมดา การใช้สกิลพิเศษ การใช้ไอเทม และอื่น ๆ อีกทั้งยังมีแถบแสดงลำดับการเล่นของตัวละครด้านซ้ายของหน้าจอ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในเกมแนวนี้แต่สิ่งที่ทำให้ระบบต่อสู้ของเกมนี้โดดเด่นอย่างแท้จริง คือการผสาน “องค์ประกอบแบบเรียลไทม์” เข้ากับโครงสร้างแบบเทิร์นเบสได้อย่างเป็นธรรมชาติและลงตัว

แม้ว่าการใส่ระบบเรียลไทม์ในเกมเทิร์นเบสจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ Expedition 33 ทำให้มันรู้สึกเหมือนเป็นแกนหลักของประสบการณ์มากกว่าการเป็นเพียงลูกเล่นเฉย ๆ ความสำเร็จในการต่อสู้ไม่ใช่แค่การเลือกคำสั่งที่ถูกต้องเท่านั้น แต่ยังต้องเชี่ยวชาญ กลไกเรียลไทม์เหล่านี้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ระหว่างที่ไม่ใช่ตาของคุณ คุณยังสามารถตอบโต้การโจมตีของศัตรูได้ด้วย การหลบหลีก (Dodge) หรือ การปัดป้อง (Parry) ที่อาศัยจังหวะเวลาในการกด

การหลบจะช่วยให้คุณไม่โดนโจมตี แต่การปัดป้องจะเปิดโอกาสให้คุณโต้กลับด้วยคอมโบที่รุนแรง การปัดป้องนั้นมีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะต้องอาศัยความแม่นยำในการกดมากกว่า แต่หากทำได้ก็จะให้รางวัลที่คุ้มค่า คุณต้องเรียนรู้พฤติกรรมของศัตรูเพื่อเลือกวิธีตอบโต้ให้เหมาะสม โดยเฉพาะศัตรูที่โจมตีได้รวดเร็วหรือมีแพทเทิร์นที่ไม่แน่นอน

ศัตรูบางตัวมีท่าที่ไม่สามารถหลบหรือปัดได้เลย ในกรณีนี้ ตัวเลือกเดียวที่คุณมีคือ การกระโดด (Jump) ซึ่งถ้าทำได้ถูกจังหวะก็สามารถโต้กลับได้เช่นกัน

นอกจากในส่วนของการป้องกันและการโต้กลับแล้ว การใส่คำสั่งพิเศษก็ยังต้องใช้การกดปุ่มตามจังหวะอีกด้วย โดยมักจะมาในรูปแบบแอนิเมชันที่ให้คุณกดตามจังหวะที่แสดงอยู่บนหน้าจอ หากคุณกดได้ตรงจังหวะอย่างสมบูรณ์ (Perfect Timing) ก็จะเพิ่มพลังโจมตีและประสิทธิภาพของผลฟื้นฟูให้สูงสุด การกดให้ได้ Perfect มีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพโดยรวมของทีม จึงเป็นสิ่งที่คุณควรฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

ระบบต่อสู้ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะตัวละครทุกคนยังมีอาวุธระยะไกล เช่น ปืนไรเฟิล หรือเวทมนตร์ยิงไกล ที่ต้องใช้การเล็งแบบแมนนวลเพื่อยิงใส่จุดอ่อนของศัตรู ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Nevrons การยิงโดนจุดอ่อนเหล่านี้สามารถสร้างดาเมจมหาศาลได้ บางครั้งถึงขั้นลด HP ได้ครึ่งหลอด

อีกหนึ่งจุดที่หลายคนน่าจะชอบ คือเกมนี้ไม่มีระบบ MP (Mana Points) แต่ใช้ แถบ AP (Action Points) แทน ซึ่งคุณจะสะสมได้จากการโจมตีธรรมดา การหลบ และการปัดป้อง นั่นหมายความว่าคุณจะไม่สามารถสแปมสกิลแรง ๆ ได้ตั้งแต่ต้น ต้อง “สร้างจังหวะ” เพื่อสะสม AP ก่อน แล้วจึงใช้ในการจบศึกในช่วงท้ายของการต่อสู้ แต่ละตัวละครก็มีกลยุทธ์ในการใช้ AP ต่างกัน ตัวอย่างเช่น Gustave มีแขนกลซึ่งจะชาร์จพลังเมื่อเขาทำการกระทำต่าง ๆ ระหว่างการต่อสู้ และคุณจะต้องเก็บ AP ให้พอเพื่อใช้สกิล Overcharge ของเขาในช่วงเวลาสำคัญเพื่อสร้างความเสียหายสูงสุด

โดยรวมแล้ว ระบบการต่อสู้ของ Clair Obscur: Expedition 33 มุ่งเน้นไปที่ความแม่นยำและการตอบสนองแบบเรียลไทม์อย่างมาก ทำให้การต่อสู้รู้สึกมีชีวิตชีวาและตื่นเต้นตลอดเวลา แม้แต่ช่วงที่ไม่ใช่ตาของคุณ คุณก็ยังต้องจับจังหวะศัตรูอยู่เสมอ

การพลาดการหลบหรือปัดเพียงครั้งเดียวอาจหมายถึงการเสีย HP จำนวนมาก เพราะศัตรูในเกมนี้โจมตีแรง แม้แต่การต่อสู้ธรรมดาก็อาจถึงตายได้ถ้าประมาท โชคดีที่เกมไม่ได้ตระหนี่กับไอเทมหรือความสามารถในการรักษา บางตัวละครก็มีสกิลฮีลที่แข็งแกร่งคอยช่วยพยุงทีมให้รอดไปต่อได้

ระบบการพัฒนาตัวละคร

จังหวะการดำเนินเกมใน Clair Obscur: Expedition 33 รู้สึกลื่นไหลมาก ทุกการเผชิญหน้ารู้สึกคุ้มค่าโดยไม่ยืดเยื้อหรือทำให้รู้สึกช้าเกินไป การเลเวลอัปก็เกิดขึ้นในจังหวะที่พอดี ๆ ไม่เร็วหรือช้าเกินไป ตอนแรกผมกังวลว่าเมื่อเล่นไปลึก ๆ เกมอาจจะเริ่มช้าลง แต่กลับพบว่าระบบการปรับระดับความยากของเกม (scaling) ทำได้ดีมาก ยังคงให้ค่า EXP ในระดับที่เหมาะสมตลอดการเล่น

อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ยังคงมีความท้าทายอยู่เสมอ เพราะระบบต่อสู้ที่เน้นการตอบสนองแบบเรียลไทม์ หากคุณไม่มีไอเทมรักษาเพียงพอ หรือยังไม่ชินกับจังหวะของการหลบ (Dodge) และการปัดป้อง (Parry) การต่อสู้ช่วงต้นเกมอาจโหดพอสมควร โดยเฉพาะเมื่อทักษะฟื้นฟูของคุณยังไม่แข็งแรง ทำให้ศัตรูสามารถกวาดล้างทีมของคุณได้ง่าย ๆ

เมื่อคุณเลเวลอัป จะสามารถกลับไปยัง Rest Point เพื่อใช้แต้มที่ได้รับจากการเลเวลอัปในการอัปเกรดค่าสถานะของตัวละคร โดยมีค่าสถานะหลักให้เลือกดังนี้:

  • Vitality (พลังชีวิต)
  • Might (พลังโจมตี)
  • Agility (ความเร็วในการลงมือ)
  • Defense (พลังป้องกัน)
  • Luck (โชค, ส่งผลต่อคริติคอลและดรอปไอเทม)

คุณสามารถเพิ่มค่าสถานะเพิ่มเติมได้ด้วยอุปกรณ์พิเศษที่เรียกว่า Pictos ซึ่งจะติดตั้งลงในช่องหลัก 3 ช่อง

นอกจากนี้ยังมีระบบที่เรียกว่า Lumina ซึ่งให้บัฟพิเศษที่คล้ายกับ Pictos แต่แตกต่างตรงที่ Lumina จะมีผลต่อทั้งปาร์ตี้ ไม่ใช่แค่ตัวละครใดตัวละครหนึ่ง Pictos และ Lumina ออกแบบมาให้ทำงานร่วมกันได้ — เมื่อคุณอัปเกรด Picto ใด Picto หนึ่งจนถึงระดับที่กำหนด จะสามารถแปลงเป็นเอฟเฟกต์ Lumina ได้

คุณสามารถเปิดใช้งาน Lumina ได้หลายรายการขึ้นอยู่กับจำนวนแต้ม Lumina ที่คุณมี ซึ่งแน่นอนว่า Lumina ที่มีผลแรง ๆ ก็ต้องใช้แต้มมากขึ้น นี่จึงเพิ่มชั้นของกลยุทธ์ในการสร้างทีม ว่าคุณจะเลือกเปิดใช้งานบัฟใดบ้างให้เหมาะกับสถานการณ์และสไตล์การเล่นของคุณ

นอกจากนั้น ตัวละครแต่ละคนยังมี Skill Tree เฉพาะของตนเอง ซึ่งมีขนาดใหญ่มากกว่าที่คาดไว้ คุณสามารถปลดล็อกความสามารถหลากหลายได้ตั้งแต่ช่วงต้นเกม เพราะเกมแจกแต้ม Skill Points ให้ค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับเกม JRPG แบบดั้งเดิม ซึ่งมักจะจำกัดการเรียนสกิลไว้ตามระดับเลเวลหรือเนื้อเรื่อง ทำให้ไม่ค่อยมีอิสระในการปรับแต่งตัวละครช่วงแรก ๆ

แต่ในเกมนี้ คุณสามารถปรับแต่งบทบาทและสไตล์การต่อสู้ของตัวละครแต่ละคนได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องสดใหม่และน่าตื่นเต้นสำหรับแฟนเกมแนวเทิร์นเบสที่เบื่อกับสูตรเดิม ๆ

การสำรวจ

เมื่อพูดถึงระบบการสำรวจใน Clair Obscur: Expedition 33 ต้องยอมรับตามตรงว่า แม้จะเล่นจนจบเกมแล้ว จุดนี้ก็ยังถือเป็นหนึ่งในจุดที่อ่อนที่สุดของตัวเกม ซึ่งนับเป็นเรื่องย้อนแย้งพอสมควร เพราะธีมหลักของเกมคือ “การเดินทางสำรวจ” แต่ความตื่นเต้นที่ควรจะได้จากการสำรวจกลับถูกจำกัดอยู่แค่ ความสวยงามของฉากและบรรยากาศเท่านั้น ในแง่ของการออกแบบแผนที่และโครงสร้างของพื้นที่สำรวจนั้น ค่อนข้างเรียบง่ายและค่อนข้างเป็นเส้นตรง

แม้จะเข้าใจได้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกมเป็น เขตอันตราย ที่มีไว้สำหรับภารกิจสำรวจโดยตรง จึงไม่มีพื้นที่ให้เดินเล่นสบาย ๆ หรือโต้ตอบกับเมืองหรือชุมชนมากนัก (นอกจากช่วงต้นเรื่องที่มีเมืองให้เห็นบ้าง) แต่ก็ยังรู้สึกผิดหวังที่การสำรวจโดยรวมให้ประสบการณ์ที่ค่อนข้างจำกัดและซ้ำซาก

เกมพยายามเสริมรากฐานความเป็น JRPG ด้วยการมีระบบ “Overworld Exploration” ให้ผู้เล่นได้เดินทางบนแผนที่ใหญ่ ซึ่งแม้จะดูสวยงามและมีลูกเล่นให้ตั้งแคมป์ (Camps) ได้ตามอิสระ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นมากไปกว่านั้น โดย Camps จะทำหน้าที่เป็นจุดพักฟื้น HP และทรัพยากร, เปิดบทสนทนาพิเศษระหว่างตัวละคร และเข้าถึงฟีเจอร์เสริมบางอย่าง แม้จะเป็นระบบที่เสริมบรรยากาศได้ดี แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้การสำรวจรู้สึกโดดเด่น

สิ่งที่ถือเป็นข้อเสียที่สุดของระบบสำรวจคือ เกมไม่มี Mini-map และไม่มีระบบ Fast Travel สำหรับย้อนกลับไปยังจุดที่เคยผ่าน ทำให้หากต้องการกลับไปยังพื้นที่เดิม จะต้อง “เดินย้อน” ด้วยตัวเองทั้งหมด ซึ่งเป็นอะไรที่น่าเบื่อและชวนให้หลงทางพอสมควร การออกแบบเช่นนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อจังหวะการเล่น และทำให้การสำรวจในเกมรู้สึกไม่ลื่นไหล ทั้งที่มันน่าจะถูกออกแบบมาให้สนุกและสะดวกมากกว่านี้

อย่างไรก็ตาม ข้อดีคือ Clair Obscur: Expedition 33 มีคอนเทนต์หลังจบเกม (Endgame Content) ให้ผู้เล่นได้ท้าทายฝีมือเพิ่มเติม โดยเฉพาะสาย completionist ที่อยากเก็บทุกอย่างให้ครบ ผมขอแนะนำว่าอย่ารีบจบเนื้อเรื่องหลักเร็วเกินไป เพราะเนื้อหาสำคัญจำนวนมากจะเปิดให้เข้าถึงในช่วงท้ายเกม หากคุณเล่นอย่างรอบคอบและสำรวจอย่างตั้งใจ คุณจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่ครบถ้วนที่สุดที่เกมมีให้เสนอ

ภาพและงานศิลป์

ตลอดทั้งเกม สิ่งที่ทำให้รู้สึกประทับใจไม่ขาดสาย คือการนำเสนอของ Clair Obscur: Expedition 33 มันเป็นประสบการณ์ที่ สวยงามอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ในแง่ของกราฟิกคุณภาพสูง—โดยเฉพาะเอฟเฟกต์แสง (Bloom Effects) และระบบแสงเงาที่โดดเด่น—แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ทิศทางงานศิลป์ (Art Direction) ที่ชัดเจนและเต็มไปด้วยเอกลักษณ์

โลกในเกมให้อารมณ์สองแบบผสมกันอย่างลงตัว ทั้งความงดงาม อบอุ่น และมีเสน่ห์เหมือนภาพฝัน แต่ก็แฝงไปด้วยความหม่นหมอง ความรู้สึกโดดเดี่ยว และความกลัวบางอย่างที่ซ่อนอยู่ บรรยากาศแบบนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เกมโดดเด่นและไม่เหมือนใคร

ความรู้สึกเหล่านี้ยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อประกอบกับดนตรีประกอบระดับคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นช่วงต่อสู้ที่เข้มข้นหรือการเดินสำรวจที่เงียบสงบ ดนตรีในแต่ละฉากถูกเลือกมาอย่างดีและช่วยเติมเต็มอารมณ์ในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างลึกซึ้ง

ในฐานะที่นี่คือผลงานแรกของทีมพัฒนา Sandfall Interactive ก็ต้องยอมรับเลยว่าพวกเขาทำได้ยอดเยี่ยม ระดับการผลิตสูงมากจนสามารถเทียบกับค่ายเกมชั้นนำได้สบาย ฉากคัตซีนและการเคลื่อนไหวของตัวละครผ่านระบบ motion capture ก็ทำออกมาได้อย่างมีคุณภาพ แม้อาจจะมีบางช่วงที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่โดยรวมแล้วฉากสำคัญถูกถ่ายทอดด้วยความใส่ใจและคุณภาพสูงจนสร้างความประทับใจได้อย่างแน่นอน

สรุป รีวิว Clair Obscur: Expedition 33

นี่คือหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่สิ่งที่ดูเหมือนจะดีเกินจริง กลับกลายเป็นของจริง Clair Obscur: Expedition 33 สามารถตอบสนองความคาดหวังอันสูงลิ่วได้อย่างเต็มที่ ข้อกังขาทั้งหมดจากตัวอย่างก่อนหน้าถูกลบล้างไปแทบหมดสิ้น ยกเว้นแค่ระบบการสำรวจซึ่งยังคงรู้สึกอ่อนด้อยเมื่อเทียบกับส่วนอื่น ๆ ของเกม รวมถึงการขาดระบบเสริมบางอย่าง เช่น glossary สำหรับติดตามข้อมูลของเนื้อเรื่อง ซึ่งนับว่าเป็นจุดอ่อนเพียงไม่กี่จุดที่พอจะหยิบยกมาได้

นอกเหนือจากนั้น เกมนี้คือ RPG แบบเทิร์นเบสที่ยืนหยัดอย่างสง่างาม และยกระดับมาตรฐานของเกมแนวนี้ไปอีกขั้น ตั้งแต่เนื้อเรื่องหลักที่เขียนได้ดีเป็นพิเศษ ตัวละครที่น่าจดจำและมีปฏิสัมพันธ์สมจริง ระบบต่อสู้ที่ผสมผสานระหว่างกลยุทธ์และแอคชั่นแบบเรียลไทม์ได้อย่างลงตัว ไปจนถึงซาวด์แทร็กคุณภาพสูงและโลกในเกมที่สวยงามน่าทึ่ง Expedition 33 คือแพ็กเกจที่สมบูรณ์แบบ และเป็นหนึ่งในเกมที่ยกระดับแนว RPG ให้สูงขึ้นอย่างแท้จริง

ควรซื้อไหม?

ควรซื้อ – ถ้าคุณกำลังมองหา เกม single-player สายเนื้อเรื่อง ไม่ว่าจะชอบแนวไหนก็ตาม โดยเฉพาะหากคุณเป็นแฟน RPG และชอบระบบต่อสู้แบบเทิร์นเบส

ไม่ควรซื้อ – ถ้าคุณไม่ชอบเกมแนวเทิร์นเบส แม้ว่าจะมีองค์ประกอบแบบเรียลไทม์มาช่วย หรือหากคุณต้องการ RPG ที่มีเวลาการเล่นยาวกว่านี้ 

ข้อดี

  • Lore น่าสนใจพร้อมงานเล่าเรื่องและสร้างโลกที่ยอดเยี่ยม
  • ตัวละครน่าจดจำและแสดงออกได้สมจริง
  • ระบบต่อสู้ลงตัวระหว่างกลยุทธ์กับแอคชั่น
  • ระบบพัฒนาและเลเวลที่ลื่นไหล ไม่รู้สึกติดขัด
  • โลกในเกมสวยงามตั้งแต่ต้นจนจบ
  • ดนตรีประกอบที่ช่วยเติมเต็มบรรยากาศได้อย่างดีเยี่ยม

ข้อเสีย

  • ไม่มีระบบ ที่ทำให้เราสามารถย้อนติดตาม lore ได้อย่างละเอียด
  • การย้อนกลับไปยังพื้นที่เดิมค่อนข้างน่าเบื่อ และไม่มี mini-map ช่วยนำทาง

คะแนน: 10 / 10


อย่าลืมติดตาม Gamer555 เพื่อไม่พลาดข่าวสารเพิ่มเติมที่น่าสนใจ

Tags: BANDAI NAMCOClair Obscur: Expedition 33Kepler InteractiveReview
ShareTweetPin
Previous Post

[Unboxing] แกะกล่อง Atelier Yumia: The Alchemist of Memories & the Envisioned Land Special Collection Box

Next Post

Ghost of Yotei เตรียมวางจำหน่าย 2 ตุลาคมนี้ exclusive บน PS5 เท่านั้น

Norrachai Anansakdakul

Norrachai Anansakdakul

Book - เภสัชกรผู้เสพติดเกม รวมถึงชอบงานเขียน สามารถหายไปเป็นวัน เพราะการเล่นเกม Turn Base Strategy ได้

Related Posts

พรีวิว Sonic Racing: CrossWorlds – การปรับแต่งที่ไร้ขีดจำกัด
Nintendo Switch

พรีวิว Sonic Racing: CrossWorlds – การปรับแต่งที่ไร้ขีดจำกัด

June 8, 2025
บทสัมภาษณ์ SHINOBI: Art of Vengeance กับ ผู้กำกับ Takaharu Terada และ โปรดิวเซอร์ Toru Ohara
ทั้งหมด

บทสัมภาษณ์ SHINOBI: Art of Vengeance กับ ผู้กำกับ Takaharu Terada และ โปรดิวเซอร์ Toru Ohara

June 8, 2025
พรีวิว SHINOBI: Art of Vengeance – งานดีตามเนื้อผ้า
Nintendo Switch

พรีวิว SHINOBI: Art of Vengeance – งานดีตามเนื้อผ้า

June 8, 2025
Next Post
Ghost of Yotei เตรียมวางจำหน่าย 2 ตุลาคมนี้ exclusive บน PS5 เท่านั้น

Ghost of Yotei เตรียมวางจำหน่าย 2 ตุลาคมนี้ exclusive บน PS5 เท่านั้น

Discussion about this post

ติดตามเราได้ที่ Facebook

รีวิว

รีวิว Clair Obscur: Expedition 33 เกมระดับ AAA แรกของค่ายที่เปิดตัวได้อย่างยอดเยี่ยม
Playstation

รีวิว Clair Obscur: Expedition 33 เกมระดับ AAA แรกของค่ายที่เปิดตัวได้อย่างยอดเยี่ยม

April 23, 2025
รีวิว Venus Vacation PRISM : DEAD OR ALIVE Xtreme – เกมจีบสาวที่มีทุกสิ่งที่ควรมี
ทั้งหมด

รีวิว Venus Vacation PRISM : DEAD OR ALIVE Xtreme – เกมจีบสาวที่มีทุกสิ่งที่ควรมี

April 16, 2025
รีวิว Xenoblade Chronicles X: Definitive Edition แม้จะเกมเก่า แต่ยังเก๋าอยู่
Nintendo Switch

รีวิว Xenoblade Chronicles X: Definitive Edition แม้จะเกมเก่า แต่ยังเก๋าอยู่

April 8, 2025
พรีวิว Den of Wolves เอกลักษณ์การปล้นเป็นทีม ในโลกอนาคต
ทั้งหมด

พรีวิว Den of Wolves เอกลักษณ์การปล้นเป็นทีม ในโลกอนาคต

April 1, 2025
พรีวิว DOOM: The Dark Ages ความมันส์สุดเดือดในยุคกลาง
ทั้งหมด

พรีวิว DOOM: The Dark Ages ความมันส์สุดเดือดในยุคกลาง

March 31, 2025
พรีวิว Clair Obscur: Expedition 33 หนึ่งในที่มีโอกาสเป็นเกมยอดเยี่ยมของปี 2025
Playstation

พรีวิว Clair Obscur: Expedition 33 หนึ่งในที่มีโอกาสเป็นเกมยอดเยี่ยมของปี 2025

March 4, 2025 - Updated on March 7, 2025
  • ติดต่อเรา
  • สำหรับนโยบายความเป็นส่วนตัว

© 2023 - 2025 Digital Braves Media Group Sdn Bhd

No Result
View All Result
  • Home
  • ติดต่อเรา
  • สำหรับนโยบายความเป็นส่วนตัว
  • เกี่ยวกับเรา

© 2023 - 2025 Digital Braves Media Group Sdn Bhd

Welcome Back!

Login to your account below

Forgotten Password?

Retrieve your password

Please enter your username or email address to reset your password.

Log In